จาก “ข้าวกล่ำ” ไร้คนสนใจสู่ “ไรซ์เบอรี่” ธัญพืชต้านอนุมูลอิสระ
แบล็กเบอรี่ บลูเบอรี่ มิกซ์เบอรี่ ฤาจะสู้ “ไรซ์เบอรี่” ธัญพืชสีม่วงอันอุดมสารต้านอนุมูลอิสระจากผืนนาไทย ทั้งวิตามินอี เบตาแคโรทีนและโอเมกา-3 ผลงานพัฒนาคุณภาพพันธุ์ “ข้าวกล่ำ” ของ “ดร.อภิชาติ” นักวิจัยผู้ติดใจรสชาติข้าวสีม่วงมาตั้งแต่วัยเด็ก
น้อยคนนักที่จะรู้จัก “ข้าวกล่ำ” ธัญพืชแห่งพระแม่โพสพที่มีเมล็ดสีดำ แต่หากได้ลองลิ้มชิมรสเชื่อว่าจะทำให้หลายๆ คนติดใจได้ไม่ยาก นำไปทำขนมไทย เช่น ข้าวหลามหรือข้าวหลามตัดได้อร่อยต่างจากข้าวขาวทั่วไป แต่ด้วยความนิยมในข้าวขาวที่มีมากกว่าและการเพาะปลูกข้าวกร่ำยังให้ผลิตน้อยจึงไม่ได้รับความสนใจจากเกษตรกร
โชคดีที่ข้าวกล่ำยังได้รับความสนใจจากนักวิจัยข้าวระดับประเทศอย่าง รศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ผู้มีความชื่นชอบในรสชาติของข้าวชนิดนี้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีโอกาสจึงได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวกล่ำที่มีข้อเสียคือมีฤดูเพาะปลูกสั้น และให้ผลผลิตต่ำเพราะมีรูปทรงที่บานเมื่อมีเมล็ดข้าวมากๆ ก็ทำต้นล้ม ทั้งยังไม่ต้านทานต่อแมลงและแบคทีเรียอีกด้วย
“ผมเป็นคนชอบทานข้าวสีม่วงหรือข้าวกล่ำซึ่งมีสีดำมาตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อมีโอกาสทำงานวิจัยเรื่องข้าวจึงคิดว่าต้องทำเรื่องข้าวสีดำ ตอนเด็กๆ เคยนั่งรถผ่านทุ่งรังสิตจะเห็นในนาเป็นหย่อมสีม่วง ก็สงสัยว่าคืออะไรถึงรู้ว่าเป็นข้าวกร่ำหรือข้าวดำ เอาไปทำขนมก็อร่อย อย่างข้าวหลามก็ต้องเป็นข้าวเหนียวดำ ” รศ.ดร.อภิชาติกล่าวถึงข้าวสีดำหรือข้าวกร่ำที่นำมาพัฒนาเป็นข้าวสีม่วงและให้ชื่อว่า “ไรซ์เบอรี่” โดยเป็นงานวิจัยที่ทำควบคู่ไปกับการวิจัยข้าวทนน้ำท่วมตั้งแต่ลำดับยีนและหายีนความหอมในข้าวหอมมะลิ
ด้วยความอร่อยที่ดึงดูดให้ รศ.ดร.อภิชาติทำการวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์จนได้ข้าวสีม่วงที่มีทรงต้นสวย และทนแมลงได้ระดับหนึ่ง ทั้งเมื่อวิเคราะห์สารอาหารของไรซ์เบอรี่แล้วยังพบความน่าสนใจที่ข้าวชนิดนี้มีสารอาหารที่มากกว่าข้าวกล้อง คือมีสารต้านอูลอิสระอย่างเบตาแคโรทีนซึ่งไม่พบในข้าวขาวสูงถึง 63 ไมโครกรัมต่อข้าว 100 กรัม และมีวิตามินอีสูงถึง 680 ไมโครกรัมต่อข้าว 100 กรัม ทั้งยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ธาตุเหล็ก โอเมกา-3 เป็นต้น
รศ.ดร.อภิชาติกล่าวว่าสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีผลที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดคอเรสเตอรอล ลดปัญหาโรคอ้วน เลือดข้น เลือดเป็นพิษ ซึ่งข้าวที่มีสารต้านอนุมูลจะช่วยได้ อีกทั้งโดยเฉลี่ยเรารับประทานข้าวกันวันละ 250 กรัม หากเรารับประทานข้าวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระก็เหมือนได้รับยาจากแหล่งที่ดีและเป็นแหล่งที่มีโภชนาการสูง
“เนื่องจากข้าวดำไม่ค่อยมีการปรับปรุงพันธุ์ จึงนับว่างานวิจัยนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จ” รศ.ดร.อภิชาติกล่าว แต่ข้าวสีม่วงก็ยังมีข้อเสียที่เหม็นหืนง่ายกว่าข้าวทั่วไป ทั้งนี้คาดว่าเพราะมีสารอาหารเยอะกว่า จึงยังมีงานที่ต้องปรับปรุงพันธุ์ให้ข้าวมีเบตาแคโรทีนมากกว่านี้ รวมทั้งลดกรดไฟติก (Phytic Acid) ที่อยู่ในรำข้าว เนื่องจากรำข้าวเป็นอาหารสัตว์ที่สำคัญ เมื่อสัตว์ได้รับกรดดังกล่าวก็จะดูดซึมฟอสฟอรัสได้น้อยลง ฟอสฟอรัสจึงออกจากร่างกายสัตว์ไปกับพร้อมกับมูล หากปล่อยสู่ธรรมชาติจะกลายเป็นแหล่งอาหารที่ดีของแบคทีเรียและกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในที่สุด
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่รับช่วงต่อจากการปรับปรุงพันธุ์ไรซ์เบอรี่ของ รศ.ดร.อภิชาติ โดยการแปรรูปข้าว เช่น สกัดน้ำมันรำข้าวจากไรซ์เบอรี่ซึ่งให้สารต้านอนุมูลอิสระสูงและนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือใช้ในการประกอบอาหารก็ได้ รวมทั้งนำข้าวไปแปรรูปเป็นขนมปัง หม่านโถว หรือแป้งข้าว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยขยายตลาดให้กับข้าวสีม่วงได้
อย่างไรก็ดีก่อนที่จะหันมาวิจัยเรื่องข้าวอย่างจริงจัง รศ.ดร.อภิชาติได้ทำวิจัยเรื่องข้าวสาลีมาก่อนเมื่อครั้งเรียนปริญญาเอกทางด้านพืชไร่ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท (Oregon State University) สหรัฐอเมริกา รวมทั้งศึกษาเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดและถั่วเหลืองในระดับการศึกษาหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเจอร์เจีย (University of Georgia) ซึ่งในส่วนของข้าวสาลีนั้นเขาเห็นว่าไม่คุ้มที่จะปลูกในเมืองไทยแต่ก็มีคนพัฒนาจนสามารถปลูกได้ แต่ประสบการณ์ที่ศึกษาพืชเหล่านี้ทำให้การศึกษาเรื่องข้าวได้เร็วขึ้น
“ทำข้าวง่าย สนุก และทานได้ด้วย เพราะเป็นคนชอบทานข้าว แต่ข้าวสาลีเราต้องไปขอพันธุ์เขา ปลูกก็ยาก พอได้มาวิจัยข้าวถึงได้รู้ว่าโง่อยู่ตั้งนาน ทำข้าวสนุกกว่าตั้งเยอะ ถึงอย่างนั้นประสบการณ์ที่ได้ทำข้าวโพด ข้าวสาลีก็ช่วยให้ทำงานข้าวได้เร็วขึ้น” รศ.ดร.อภิชาติกล่าว
การทำวิจัยข้าวเป็นเวลา 8 ปีของ รศ.ดร.อภิชาติ ตั้งแต่ปี 2542 หลังจบการศึกษามาจากสหรัฐ ครอบคลุมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมและมีสารอาหารที่เพิ่มขึ้น อาศัยความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อศึกษาลงลึกในระดับยีนของข้าว ทำให้ผลงานเป็นที่ประจักษ์จนได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2549
…รศ.ดร.อภิชาติเป็นตัวอย่างหนึ่งของนักวิจัยที่นำสิ่งมีคุณค่าในชาติมาพัฒนาให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น เราเชื่อว่าทรัพยากรอันอุดมบนผืนแผ่นดินไทยจะจุดประกายให้ใครอีกหลายคนได้สร้างสรรค์งานที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป..
ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000013884
Thursday, February 15, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment