Monday, December 31, 2007

ผลงานเด่นปี50 จากโลกจิ๋ว

ปี2550 นักวิจัยจากโลกจิ๋วแสดงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนาโน ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบต่างๆ และความก้าวหน้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสิ่งทอ ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจาก "เสื้อนาโน" ที่สร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อปีก่อนหน้านั้น

o แว่นสายลับ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังส่งมอบผลงานแว่นนาโนคริสตอลให้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ใช้สวมระหว่างปฏิบัติงานการตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เลนส์ของแว่นเคลือบด้วยอณูของผลึกอินเดียมออกซิไนไตรด์ ทำให้เลนส์มีคุณสมบัติพิเศษในการตัดแสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้มองเห็นหลักฐานแฝงได้ในครั้งเดียวที่สวม ทั้งคราบเลือด คราบน้ำลาย คราบอสุจิ ลายนิ้วมือ หรือแม้แต่เส้นใยต่างๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนสลับใช้แว่น 3 อัน มองหาอสุจิแยกจากแว่นมองหาลายนิ้วมือและคราบเลือด

o ตู้ปลาใสปิ๊ง แรมเดือน
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติเคลือบเม็ดเซรามิกด้วยสารไทเทเนียมไดออกไซด์ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย แล้วใช้ตกแต่งตู้ปลาแทนก้อนกรวด ผ่านไป 1 เดือนปลายังคงอยู่รอดปลอดภัย สารดังกล่าวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและตะไคร่น้ำ จึงยืดเวลาทำความสะอาดจากสัปดาห์ละครั้งเป็นเดือนละครั้งได้ ทำให้ประหยัดทั้งน้ำและเวลาทำความสะอาดตู้

o สีทนได้
สีทาบ้านแบรนด์ทีโอเอส่ง"ชิลด์ วัน นาโน ซิลิโคน" สีกันคราบออกสู่ตลาดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยรวมคุณสมบัติเด่นของนาโนซิลิโคน ป้องกันน้ำแทรกซึมฝังตัวในผนัง ลดความชื้นสะสม ปิดโอกาสเชื้อราเติบโต ทนทานต่อการขัดถู ไม่ลอกล่อนง่าย แถมยังผสมสารเคลือบลื่นป้องกันคราบน้ำมัน ทำให้คงคุณสมบัติกันคราบได้ตลอดอายุการใช้งาน ผลงานวิจัยโดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยว้าคเกอร์ เคมิคัลส์ ในเยอรมนี

o จีวร-เสื้อยุงแขยง
จีวรและเสื้อกันยุงผลิตภัณฑ์ของบริษัท คัฟเวอร์ แนนท์ จำกัด ถือเป็นรายแรกของโลกและเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก เส้นใยผ้าเคลือบด้วยแคปซูลจิ๋ว ซึ่งบรรจุอณูน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรที่ยุงเกลียด แคปซูลจะทยอยแตกตัวปล่อยกลิ่นยุงเกลียดออกมา ผ่านการทดสอบกันยุงได้กว่า 97% และหลังผ่านการซัก 30-50 ครั้ง ฤทธิ์ของไมโครแคปซูลจะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ อนาคตพบกับเทคโนโลยีในเครื่องแบบทหาร เครื่องแบบ รปภ. ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานเสี่ยงต่อการถูกยุงกัด รวมทั้งชุดผู้ป่วย เพราะโรงพยาบาลฉีดยาฆ่ายุงไม่ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สินค้านาโนจิ๋วแต่แจ๋ว 'ฮอต' รับปีหนู


ยุคนี้สินค้าที่พะยี่ห้อ"นาโนเทคโนโลยี" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และเป็นจุดขายที่ผู้ผลิตสินค้านำมาสร้างจุดต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์
ที่เมืองนอกสินค้าที่มีส่วนประกอบระดับอนุภาคมีขายมานานแล้วโดยเฉพาะบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำ อย่างลอรีอัล ชิเซโด และโคเซ่ ที่ปรับเนื้อครีมให้ละเอียดระดับนาโนเมตร (1 นาโนเมตร = 1/ พันล้านส่วนเมตร) เพื่อให้เนื้อครีมซึมผ่านชั้นผิวหนัง ไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้เนื้อผิวลึกถึงชั้นผิวหนังเบื้องล่าง บ้างใช้ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้ผลดีกว่าครีมที่ทาแล้วเปื้อนอยู่บนแขนขา

ช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าในไทยอาศัยคุณสมบัติขนาดจิ๋วของสาร มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เช่นกัน ที่รู้จักกันมากคือเสื้อซิลเวอร์นาโน ที่สวมใส่แล้วปราศจากกลิ่นอับชื้น เนื่องจากอนุภาคเงินที่เคลือบอยู่บนเนื้อผ้า จะไปจับและทำลายเซลล์พวกแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยทดลองใช้อนุภาคนาโนเคลือบผ้าไหมกันเปื้อนคราบและน้ำ

งานวิจัยและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมานิยมใช้ซิลเวอร์นาโนหรืออนุภาคเงิน และไททาเนียม ไดออกไซด์ เป็นสารเคลือบพื้นผิวเพื่อทำลายการเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังใช้กับเครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศที่บางยี่ห้อโฆษณาว่าสามารถกำจัดเชื้อไข้หวัดนกได้ด้วย

"งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีนาโนในปี 2551 คงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ศ.กิตติคุณดร.วิวัฒน์ ตัณฑะพานิชกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) กล่าว

ดร.วิวัฒน์เป็นผู้หนึ่งที่คิดค้น "ถ่านกัมมันต์" จากยางรถยนต์เก่าและกากกาแฟ เพื่อใช้เป็นตัวกรองน้ำเสียจากโรงงาน ถ่านกัมมันต์ที่คิดค้นมีขนาดเล็กเพียง 2 นาโนเมตร สามารถจับธาตุโลหะหนักได้ดีกว่าของนำเข้าจากต่างประเทศ

ผู้อำนวยการนาโนเทคมองว่า งานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีจากนี้ไป จะเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือที่เรียกว่า "นาโนเมดิซิน" มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนายาเฉพาะบุคคลและระบบนำส่งยา

รูปแบบการรักษาโรคตลอดช่วงที่ผ่านมาเน้นการพัฒนาตัวยาครอบคลุมการรักษาประชากรกลุ่มใหญ่ ไม่จำกัดเพศ วัย ตัวบุคคล เช่น ยาแก้ปวด แก้ไข้ เป็นต้น แต่อนาคต รูปแบบการรักษาให้ความสำคัญกับ "พันธุกรรม" ของแต่ละคนมากขึ้น การตรวจวินิจฉัยของแพทย์จะส่องไปดูถึงระดับยีน เพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคในเฉพาะคน ก่อนดำเนินการรักษาด้วยรูปแบบเฉพาะ

ยกตัวอย่างแพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่านาโนอาร์เรย์ เพื่อตรวจค้นยีนหรือดีเอ็นเอจากตัวอย่างเลือด ซึ่งใช้ในปริมาณน้อยกว่าการตรวจวินิจฉัยในปัจจุบัน แต่ได้ผลเร็วขึ้น

งานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์ไทยและต่างประเทศกำลังค้นคว้ากันอย่างจริงจังอีกประเภทคือระบบนำส่งยา ซึ่งจะเป็นการพัฒนาสำคัญในปีนี้

ระบบนำส่งยาให้ประสิทธิภาพการรักษาได้ดีกว่าการรับประทานยาหรือฉีดยาอย่างที่รักษากันทั่วไป เนื่องจากยากินจะกระจายตัวออกฤทธิ์ระหว่างทางก่อนถึงอวัยวะที่ติดเชื้อโรค เฉพาะอย่างยิ่งยาสำหรับโรคมะเร็ง ที่อาจทำลายเซลล์ดีระหว่างทางที่จะไปทำลายเซลล์เนื้อร้าย ระบบนำส่งยาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยมีระบบนำวิถีชี้ตำแหน่งให้ยาเดินทางไปปล่อยสารออกฤทธิ์ที่เซลล์มะเร็งตรงจุด
นอกจากนี้นักวิชาการทั่วโลกเห็นพ้องกันว่า สามารถใช้นาโนเทคโนโลยีแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานได้ เช่นงานวิจัยควอนตัมโซลาร์เซลล์ โดยทีมนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพลังงานไฮโดรเจน (เซลล์เชื้อเพลิง) ที่นักวิจัยจากหลายสถาบันกำลังดำเนินการค้นคว้า

"เทคโนโลยีนาโนเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือก เช่น หากไฮโดรเจนไม่พอ ก็อาจนำก๊าซธรรมชาติหรือเอทานอล มาผ่านกระบวนการรีฟอร์มมิ่ง โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาคุณภาพสูงเปลี่ยนให้เป็นก๊าซไฮโดรเจน" ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค อธิบาย

ทีมวิจัยในสังกัดศูนย์นาโนเทคยังศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยาอนุภาคนาโนสำหรับใช้กับพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น โฟโตคาทาลิสต์ ที่ใช้ในการบำบัด เคลือบเสื้อผ้าป้องกันแบคทีเรีย และเคลือบฟิล์มปิดผลไม้ให้สุกช้าลง อีกทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการสร้างโรงงานต้นแบบ ที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดนี้ในการบำบัดน้ำเสีย

ดร.วิวัฒน์เพิ่มเติมว่า เทคโนโลยีนาโนยังประยุกต์ใช้ในเวชสำอางอีกด้วย เช่น เทคโนโลยีนาโนอีมัลชั่น นำมากักเก็บประสิทธิภาพของสารประทินผิว โดยใช้ฟิล์มไคโตซานอนุภาคนาโนเป็นตัวเก็บ ทำให้สารสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ และค่อยๆ ปลดปล่อยประสิทธิภาพออก ทั้งนี้ มีแผนจัดตั้งเป็นกลุ่มความร่วมมือวิจัย ดึงมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ ที่สนใจด้านเวชสำอางมาวิจัยร่วมกัน

ที่ผ่านมานาโนเทคก็ยังมีผลงานเด่นๆ เช่น ระบบตรวจวินิจฉัยโดยใช้นาโนเซ็นเซอร์ เพื่อตรวจหาปริมาณน้ำตาลซูโครสในสารละลาย ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ กำลังจะจดสิทธิบัตรร่วมกับสถาบันวิจัยเอไอเอสทีของญี่ปุ่น, แว่นตานาโนคริสตัลที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พัฒนาขึ้นให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจหาคราบเลือดหรือสารคัดหลั่ง เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, December 19, 2007

คืนนี้ตั้งแต่ 2 ทุ่มมองฟ้าชม "ดาวอังคาร" ยามเข้าใกล้โลก


นักดาราศาสตร์ทั่วโลกทั้งตัวจริงและสมัครเล่นตื่นเต้นกันอีกครั้งในรอบ 2 ปี ที่จะมีปรากฏการณ์ดาวอังคารเข้าใกล้โลกให้ได้ชมกันในช่วงหัวค่ำวันนี้ หลายหน่วยงานเตรียมจัดกิจกรรมและตั้งกล้องโทรทรรศน์ชมดาวอังคารกันอย่างใกล้ชิด

ทุกๆ 2 ปี จะมีปรากฏการณ์ดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลก และปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เราสามารถมองเห็นดาวอังคารสุกสว่างอยู่กลางท้องฟ้ามากกว่าทุกคืน โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำวันที่ 19 ธ.ค. 2550 ที่ดาวอังคารจะโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 2 ปี

น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว ผอ.ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ หรือลีซา (LESA) เปิดเผยว่า ที่เรียกว่าดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลกแล้วทำให้เราสังเกตเห็นดาวอังคารชัดเจนและสว่างมากกว่าปกตินั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะโลกกำลังโคจรเข้าใกล้ดาวอังคาร ซึ่งวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์มีระยะทางสั้นกว่าของดาวอังคาร และโคจรด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน ทำให้ทุกๆ 2 ปี โดยประมาณ โลกจะโคจรแซงหน้าดาวอังคารอีก 1 รอบ

วันที่ 19 ธ.ค. นี้ เป็นวันที่โลกกำลังจะโคจรแซงหน้าดาวอังคารอีกครั้ง โคจรในระยะห่างกันประมาณ 88.17 ล้านกิโลเมตร โดยจะมองเห็นเป็นดาวดวงสีส้มแดงสว่างไสวอยู่เหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันออกช่วงหัวค่ำประมาณหลัง 18.00 น. อยู่ใกล้กับกลุ่มดาวคนคู่หรือเจมิไน (Gemini) และสังเกตเห็นได้ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า ซึ่งดาวอังคารจะลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก โดยช่วงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือเวลาประมาณ 20.00 น. และปรากฏการณ์ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกมากที่สุดจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค. 2553 และในวันที่ 25 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ดาวอังคารจะอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามและทำมุม 180 องศา กับดวงอาทิตย์พอดีโดยมีโลกเป็นจุดศูนย์กลาง

ทั้งนี้ ลีซาได้จัดกิจกรรม "มหกรรมโลกเข้าใกล้ดาวอังคาร" ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.00 น. ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตามวันและเวลาดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 4 อยู่ถัดจากโลกในระบบสุริยะ เมื่อสังเกตจากโลกจะมองเห็นดาวอังคารเป็นสีส้มแดงโดดเด่นอยู่บนท้องฟ้า ทำให้คนสมัยก่อนยกย่องบูชาดุจเทพเจ้า ต่อมาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มนุษย์รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดาวอังคารเพิ่มขึ้นมากมาย

ด้วยวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่ใกล้เคียงกับโลก อีกทั้งดาวอังคารยังมีพื้นผิวเป็นของแข็ง มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม มีฤดูกาล และมีร่องรอยของแหล่งน้ำในอดีตกาล ทำให้มนุษย์โลกเชื่อมายาวนานแล้วว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร ทว่าจนบัดนี้มนุษย์ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต

อย่างไรก็ดี ความพยายามค้นหาชีวิตบนดาวอังคารยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ แม้จะยังไม่พบสักชีวิต แต่ข้อมูลของดาวอังคารที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะเป็นกุญแจไขความลับของดาวแดงและจักรวาลให้เปิดแง้มมากขึ้นทีละน้อย และในโอกาสดีที่โลกและดาวอังคารโคจรอยู่ใกล้กันในทุกๆ 2 ปี กว่า นักดาราศาสตร์ทั่วโลกจึงไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้ค้นหาความลับของดาวแดง ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่สามารถมองผ่านกล้องโทรทรรศน์จากพื้นโลกแล้วเห็นพื้นผิวบนดาวอังคาร

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000150491

Tuesday, December 18, 2007

ไบโอดีเซลจากสาหร่าย อาวุธกู้โลกร้อน

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐใกล้ทำฝันให้เป็นจริง เปลี่ยนสาหร่ายให้เป็นไบโอดีเซลใช้ได้กับรถเครื่องยนต์ดีเซล และเครื่องบินไอพ่น ทีมวิจัยจากห้องแล็บมหาวิทยาลัยมินเนโวตา พบว่า สาหร่ายทางชนิดผลิตน้ำมันได้ถึง 50% และสามารถเปลี่ยนเป็นไบโอดีเซล และเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นได้ด้วย แต่ติดปัญหาอยู่ที่ต้นทุนการผลิตที่ยังสูงอยู่ โดยหน่วยงานด้านกลาโหมสหรัฐหน่วยหนึ่งประมาณว่าราว 700 บาทต่อแกลลอน (4 ลิตร)

ผู้อำนวยการหน่วยงานวิจัยพลังงานทดแทนของ บริษัท ฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล มองว่า ถ้าสามารถผลิตน้ำมันจากสาหร่ายด้วยต้นทุนเพียง 70 บาทต่อ 4 ลิตร นั่นแหละถึงจะคุ้มและเป็นความหวังที่หลายคนตั้งตารอดู

ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างแข่งกันหาสายพันธุ์สาหร่ายที่เหมาะสมเพื่อมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงได้ในเชิงพาณิชย์

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา เป็นอีกทีมหนึ่งเช่นกันที่คิดค้นวิธีเพาะสาหร่ายให้ได้จำนวนมากพอนำมาเข้าสู่กระบวนการ รวมถึงค้นหาวิธีสกัดน้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยได้รับงบสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ บริษัทน้ำมัน บริษัทด้านสาธารณูปโภค และบริษัทร่วมทุนจำนวนมาก

กระบวนการเปลี่ยนน้ำมันจากสาหร่ายให้เป็นไบโอดีเซล ใช้กระบวนการเดียวกับวิธีเปลี่ยนน้ำมันพืชไปเป็นไบโอดีเซล แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงและยากจะทำให้ถูกลงได้ เนื่องจากยังไม่มีใครคิดกระบวนการแปรรูปตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงออกมาเป็นน้ำมันพร้อมใช้ ตอนนี้ทำได้แค่ระดับห้องเล็บเท่านั้น

ถ้าลดต้นทุนได้จริง การผลิตน้ำมันจากสาหร่ายถือว่าได้เปรียบพืชพลังงานชนิดอื่นหลายด้าน ทั้งเติบโตเร็ว และใช้พื้นที่น้อยกว่า เทียบเคียงกันแล้ว ข้าวโพด 2 ไร่ครึ่งผลิตเชื้อเพลิงได้ถึง 1.5 หมื่นแกลลอน

ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมินเนโซตาทีมวิจัยกำลังพัฒนาวิธีปลูกสาหร่ายให้ได้จำนวนมาก และพบสายพันธุ์ที่เหมาะสมแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างคิดว่าจะนำของเหลือหลังจากสกัดน้ำมันมาทำอะไรต่อไปได้อีก

ทั้งนี้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผิวน้ำที่เต็มไปด้วยสาหร่ายในแท็งก์สูง หรือสระกลางแจ้ง จะได้ผลผลิตไม่ดีนัก นักวิจัยจึงออกแบบระบบที่เรียกว่า “โฟโตไบโอรีแอคเตอร์” ที่ให้แสงสว่างและสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับสาหร่ายน้ำมัน

สาหร่ายของทีมนี้ปลูกในบ่อกักน้ำเสียโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากมีฟอสเฟต และไนโตรตปนเปื้อนอยู่ สารเคมีทั้งสองชนิดเป็นสารพิษต่อแม่น้ำ ลำคลอง แต่กลับเป็นปุ๋ยชั้นเลิศสำหรับทำฟาร์มสาหร่าย ทีมชุดนี้จึงคิดทำฟาร์มสาหร่ายใกล้กับโรงบำบัดเสียเลย เพื่อให้เกิดขึ้นหลังจากนำตะกอนของเสียมาเผา

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Monday, December 17, 2007

อังกฤษตั้งเป้า ปี 2563 ทุกบ้านใช้ไฟฟ้าจากพลังงานลม


เอเยนซี/บีบีซีนิวส์ - รัฐบาลผู้ดีประกาศสู้โลกร้อนด้วยการหันมาใช้พลังงานสะอาด ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก วางแผนแปลงลมทะเลเป็นกระแสไฟฟ้าป้อนบ้านเรือนประชาชนทั่วประเทศทุกหลังคาเรือนภายในปี 2563

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าวิธีลดโลกร้อนที่ได้ผลมากที่สุดคือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ รัฐบาลอังกฤษเลยสนองตอบด้วยการให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลที่มีอยู่รอบประเทศ

นายจอห์น ฮัตตัน (John Hutton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอังกฤษ เปิดเผยในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการเมืองทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจำเป็นต้องใช้พลังงานที่ทำให้เกิดคาร์บอนน้อยลง เพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ขณะนี้

"ผมเชื่อว่าพลังงานจากลมทะเลที่มีอยู่รอบเกาะอังกฤษมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนบ้านเรือนประชาชนทั่วทั้งอังกฤษได้" นายฮุตตัน กล่าว

ขณะนี้ประเทศอังกฤษมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แล้วทั่วประเทศคิดเป็น 2% ซึ่งรวมทั้งพลังงานลมขนาดต่ำกว่า 0.5 กิกะวัตต์ด้วย อย่างไรก็ดี ทางรัฐบาลประสงค์จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ 8 กิกะวัตต์ ในปี 2557 และเพิ่มเป็น 33 กิกะวัตต์ ภายในปี 2563 ซึ่งต้องใช้กังหันลมมากถึง 7,000 ตัว และต้องติดตั้งตลอดแนวชายฝั่งราว 1.5 กิโลเมตรต่อกังหัน 2 ตัว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนของสหภาพยุโรปให้ได้ 20% ในปี 2563

ฮุตตันบอกอีกว่า การติดตั้งกังหันลมอาจมีผลทำให้แนวชายฝั่งเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และก็คงไม่มีเทคโนโลยีไหนหรอกที่สามารถลดคาร์บอนได้โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามต่อฮุตตันว่า หากเกิดปัญหากรณีไม่มีลมพัดสัก 2-3 วัน จะเกิดผลกระทบหรือไม่ ซึ่งฮุตตันก็ตอบว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีแหล่งพลังงานทดแทนหลายชนิด รวมทั้งพลังงานนิวเคลียร์ที่สามารถทดแทนพลังงานลมได้เมื่อยามที่สภาพอากาศปราศจากคลื่นลม

อย่างไรก็ดี มาร์ค เอเวอรี (Mark Avery) สมาคมอนุรักษ์นกแห่งอังกฤษ (Royal Society for the Protection of Birds) กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังจากที่ฮุตตันให้สัมภาษณ์ว่า การสร้างโรงไฟฟ้าและการติดตั้งกังหันลมตามแนวชายฝั่งจะต้องดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลและไม่กระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

"หากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ทั้งฝูงนก วาฬ โลมา และปลาอื่นๆ อีกหลายชนิดคงต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือมนุษย์แน่นอน" เอเวอรี ฝากให้รัฐบาลพิจารณา

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000147686

Friday, December 14, 2007

ชวนโจ๋เข้าค่ายสื่อสารวิทย์บินสู่ลอนดอน


บริติช เคานซิล ร่วมกับทรูวิชั่นส์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอเชิญเยาวชนไทยอายุ 17-21 ปี และกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรมฝึกทักษะการเป็นนักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ผ่านโครงการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรับคัดเลือกเป็นทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยประจำปี 2008 และเดินทางไปเข้าร่วม London International Youth Science Forum ร่วมกับเยาวชนกว่า 250 คนจาก 60 ประเทศทั่วโลก ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.britishcouncil.or.th หมดเขตส่งใบสมัคร 31 ม.ค. 2551

นางเพ็ญรพี รามอินทรา ผู้จัดการโครงการวิทยาศาสตร์ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ที่ทางโครงการเปิดโอกาสให้น้องๆ ที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์สมัครเข้ารับคัดเลือกเป็นทีม ทีมละ 2 คน อยากให้น้องๆ ได้มาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อฝึกฝนวิธีการสื่อสารให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

นายพิรฐะ หิญชีระนันทน์ นักศึกษาปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนึ่งในตัวแทนทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยประจำปี 2007 ที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมกับ London Youth Science Forum ที่สหราชอาณาจักร กล่าวในฐานะตัวแทนทีมว่า "ประทับใจการได้เข้าร่วมโครงการทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์มาก พอได้เดินทางไปร่วมชุมนุมด้านวิทยาศาสตร์ที่ลอนดอนยิ่งสนุก ได้เข้าฟังการบรรยายทั้งการทดลองและการแสดงทางวิทยาศาสตร์ ทำให้วิทยาศาสตร์ที่ยากและน่าเบื่อเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุก หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัวจนคิดไม่ถึงว่าจะนำมาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ขั้นสูงได้อย่างไร เช่น ความรู้เรื่องฟองสบู่ที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก สามารถไปใช้ในการทำถนนหรือโครงสร้างอาคารต่างๆ ได้ ผมยังได้ไปทัศนศึกษาตามมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่างๆ นอกจากนั้น ยังมีการจัดตลาดนัดทางวิชาการขึ้นเพื่อแสดงผลงานโครงงานของแต่ละประเทศด้วย"

ที่มา: http://www.matichon.co.th/
Link: http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakUwTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TkE9PQ==

ตู้น้ำมันไบโอดีเซลหยอดเหรียญ อยู่ที่ไหนก็เติมเองได้


รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้ไบโอดีเซลกันมากๆ แต่จะเติมน้ำมันไบโอดีเซลแต่ละทีก็ไม่ใช่ง่าย เพราะปั๊มน้ำมันไบโอดีเซลขณะนี้มีเพียง 900 จุดทั่วประเทศ “ตู้น้ำมันไบโอดีเซลแบบหยอดเหรียญ” ขนาดกะทัดรัด กระจายตามจุดต่างๆ จึงช่วยลดปัญหาได้

นายศักดิ์ชัย จองลน ประธานบริษัท กชพรรณ ดอท คอม จำกัด ซึ่งจำหน่ายเครื่องจำหน่ายสินค้าแบบหยอดเหรียญมานานกว่า 8 ปี กล่าวว่า ทางบริษัทได้นำเข้าชิ้นส่วนตู้น้ำมันหยอดเหรียญที่ได้มาตรฐานไอเอสโอจากประเทศจีนมาประกอบเอง ล่าสุดได้ประกอบตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญเพื่อให้บริการแก่ผู้ขับขี่ยานยนต์ในประเทศได้แล้ว โดยมีมาตรฐานเทียบเท่าตู้จ่ายน้ำมันของสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ทั่วไป

สำหรับตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญ ทำงานได้ทั้งแบบรับเหรียญ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท หรือธนบัตรมูลค่า 20 บาท 50 บาท และ 100 บาทได้ อีกทั้งยังจะพัฒนาต่อไปให้รับบัตรเครดิตได้ด้วย โดยได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้สามารถประกอบจำหน่ายได้ตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทยที่ทำอย่างถูกต้อง

“ตู้น้ำมันหยอดเหรียญมีขนาด 200 ลิตร เมื่อจำหน่ายหมดก็เติมใหม่ได้ หรือจะใช้การดูดน้ำมันจากถังใต้ดินขึ้นมาใช้เหมือนปั้มน้ำมันทั่วๆ ไปก็ได้ เมื่อติดตั้งแล้วต้องมีพนักงานความปลอดภัยมาประจำ และมีอุปกรณ์ดับเพลิง เช่น ถุงทรายและถังดับเพลิงไว้พร้อมเผื่อในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีตามที่กฎหมายกำหนด” นายศักดิ์ชัย กล่าว

ทั้งนี้ ตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญ ถือเป็นมาตรการหนึ่งของบริษัทเพื่อตอบรับกระแสสังคมที่หันมาให้ความสำคัญกับน้ำมันไบโอดีเซลมากขึ้น โดยเป็นการเปิดตัวครั้งแรก จากก่อนหน้านี้ บริษัทได้จำหน่ายตู้น้ำมันหยอดเหรียญให้แก่ผู้ค้าปลีกน้ำมันรายย่อยและติดตั้งแล้ว 30 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการน้ำมันชนิดต่างๆ แก่ลูกค้า เช่น น้ำมันเบนซินสำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในจุดที่ห่างไกลจากสถานีน้ำมัน

“น้ำมันไบโอดีเซลเป็นพลังงานที่ต้องมาอย่างแน่นอน เราจึงนำตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญมาเปิดตัวเพื่อร่วมส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในบ้านเราด้วย” นายศักดิ์ชัย กล่าว โดยผู้ประกอบการรายใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2904-2700 ซึ่งตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญนี้มีสนนราคาเบาะๆ 1.9 แสนบาท/เครื่อง

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000148066

เทคโนประดิษฐ์-ฮอนด้าลับคมหุ่นยนต์อาซิโมรู้มารยาทสังคมทำงานร่วมผู้อื่นได้

ฮอนด้าประสบความสำเร็จอีกขั้นในการพัฒนาอัจฉริยะสมองกลอาซิโมเทคโนโลยีใหม่ช่วยเชื่อมโยงการทำงานของอาซิโมหลายตัวในเวลาเดียวกัน รองรับการใช้งานประจำวันในสภาพแวดล้อมจริง

เทคโนโลยีอัจฉริยะสมองกลใหม่นี้ช่วยให้อาซิโมเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น และนำไปสู่ความสามารถใหม่ 3 อย่างคือ การจัดสรรหน้าที่และปฏิบัติงานได้พร้อมกันหลายตัวในเวลาเดียวกันโดยเชื่อมโยงเทคโนโลยีใหม่กับความสามารถในการปฏิบัติงานในสำนักงาน อาทิ การเสิร์ฟเครื่องดื่ม การเข็นรถ เป็นต้น เช่น ขณะที่อาซิโมตัวหนึ่งหยุดทำงาน เนื่องจากกำลังชาร์จแบตเตอรี่ ตัวอื่นๆ จะทำหน้าที่แทนได้ทันที

ความสามารถที่สอง การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้า หรือเดินถอยหลังเพื่อเปิดทางให้ผู้อื่น โดยจะกำหนดตำแหน่งของผู้ที่กำลังเข้าใกล้ ผ่านกล้องรับภาพที่ตา จากนั้นจะคำนวณทิศทางและความเร็วของระยะทาง คาดการณ์การเคลื่อนไหวของผู้ที่เข้าใกล้ และเลือกเส้นทางเดินที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเปิดทางแก่ผู้อื่น แต่ในกรณีที่พื้นที่ไม่พอ อาซิโมจะเดินถอยหลังและเปิดทางให้

ความสามารถที่สามการชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเองเมื่อระดับแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่าระดับที่กำหนดอาซิโมจะหาตำแหน่งสถานีสำหรับชาร์จที่ใกล้ที่สุด จากนั้นเดินไปยังตำแหน่งดังกล่าวเพื่อชาร์จแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ โดยจะทำการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่กำลังยืนอยู่

ฮอนด้าได้ทดสอบอาซิโม2 ตัว ที่ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ บริเวณล็อบบี้ชั้น 2 สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าในกรุงโตเกียว

นับตั้งแต่ฮอนด้าเปิดตัวอาซิโมเมื่อปี 2548 ก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้อาซิโมอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ และเทคโนโลยีล่าสุดนี้ ทำให้อาซิโมปฏิบัติงานในสภาวะที่แวดล้อมไปด้วยมนุษย์ และอาซิโมตัวอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จึงนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของฮอนด้าในการพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ให้สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมจริงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนจำนวนมาก

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Thursday, December 13, 2007

เทคโนประดิษฐ์-โตโยต้าอวดหุ่นยนต์อุ้มผู้ป่วย-คนชรา


โตโยต้าโชว์หุ่นยนต์รุ่นใหม่พร้อมกันสองรุ่นตัวหนึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ หรือที่เรียกว่าฮิวแมนนอยด์ อีกตัวหนึ่งเป็นพาหนะสองล้อสำหรับพาคนพิการและผู้ป่วยเคลื่อนที่ภายในคฤหาสน์สถานแทนจะนอนแบบอยู่บนเตียง

คัตสุกิวาตานาเบ ประธานบริษัทโตโยต้า กล่าวว่า หุ่นยนต์จะเป็นธุรกิจหลักของโตโยต้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากญี่ปุ่นรายนี้ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี พ.ศ.2553 หุ่นยนต์ภาคสนามมากมายจะถูกผลิตออกมาช่วยงานตามโรงงาน บ้านเรือนและในเมือง และปีหน้าโตโยต้ายังมีแผนทดสอบการทำงานของหุ่นยนต์ในโรงพยาบาล และโรงงานของโตโยต้าเอง รวมถึงสถานที่

หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานในโรงงานมานานแล้วเช่น ใช้เชื่อม และใช้ประกอบชิ้นส่วนตามสายพานการผลิต ขณะที่หุ่นยนต์เหล่านี้ยังไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ในอนาคตหุ่นยนต์จะทำงานช่วยเหลือมนุษย์อย่างเป็นอิสระ

ผู้บริหารโตโยต้าบอกว่าหุ่นยนต์ถือเป็นพัฒนาการอีกขั้นของโตโยต้า ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถสังเกตได้ว่า รถยนต์รุ่นใหม่มักติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ และสมองกลเพื่ออำนายความสะดวกและดูแล และป้องกันอุบัติภัยให้แก่ผู้ขับขี่

หนึ่งในหุ่นยนต์ที่โตโยต้านำมาโชว์เมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นหุ่นยนต์สองล้อที่ออกแบบคล้ายรถเข็นคนป่วยสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. สามารถเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ขรุขระหรือเป็นเนินขึ้นลงโดยทรงตัวเองได้อัตโนมัติ เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับพบสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า มันจะวิ่งอ้อมไปอีกด้านทันที หุ่นยนต์แบบนี้สามารถพาผู้ป่วย และคนชราไปยังเตียงนอนได้โดยไม่ต้องมีคนคอยช่วย
รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์อย่างจริงจังก่อนหน้านี้ บริษัทฮอนด้าได้นำหุ่นยนต์อาซิโมไปแสดงความสามารถตามที่ต่างๆ ทั่วโลก เช่นเดียวกับบริษัทฮิตาชิ ฟูจิสึ และเอ็นอีซี ที่ตั้งงบประมาณวิจัยด้านนี้ ถึงแม้โตโยต้าจะตามมาทีหลัง แต่เทคโนโลยีหุ่นยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ไม่น้อยหน้ารายอื่น หรืออาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ

หุ่นยนต์อีกตัวหนึ่งที่นำมาโชว์ความสามารถเป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ขนาด 5 ฟุต นอกจากสีไวโอลินได้แล้วมันยังโยกตัวเคลื่อนไหว มีอารมณ์ร่วม ไปกับการบรรเลงดูราวกับเป็นนักไวโอลินมืออาชีพนิ้วหุ่นยนต์ที่กดโน้ตลงบนสาย สอดคล้องกับการชักแขนสีสายไวโอลิน แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงที่สั่งการให้นิ้วมือและแขนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อันเป็นหัวใจสำคัญของระบบหุ่นยนต์ที่ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ด้านความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, December 12, 2007

ฝันไอบีเอ็มทำซูเปอร์คอมพิวเตอร์ฉลุย

ไอบีเอ็มประกาศความสำเร็จเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นแสงกะพริบใช้รับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูเข้าใกล้ฝันสร้างคอมพิวเตอร์ประมวลผลล้ำเลิศจากเครื่องเทอะทะมโหฬารให้อยู่ในชิพเพียงตัวเดียว

ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาชิพประมวลผลความเร็วสูงที่เปรียบเสมือนมีชิพนับร้อยนับพันตัวอยู่บนชิพตัวเดียวแต่มีขนาดเล็กกว่าเทคโนโลยีชิพปัจจุบันที่กินไฟมโหฬาร แถมใช้งานได้สักพักยังร้อนจี๋ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเพิ่มพลังประมวลผลให้แก่ซีพียู

ไอบีเอ็มเป็นผู้ผลิตชิพประมวลผลที่มีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีสูงตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ หน่วยประมวลผล เซลล์ ที่ใช้กับเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น3 ของโซนี่ ซึ่งมีแกนประมวลผลถึง 9 แกน ขณะที่ผู้ผลิตซีพียูอย่างอินเทล และเอเอ็มดียังแข่งกันพัฒนาชิพที่มีแกนประมวลผล 4 แกน หรือที่เรียกว่า ควอดคอร์

ไอบีเอ็มได้พัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างแกนหรือสมองของซีพียูด้วยรูปแบบของแสงกะพริบแทนรูปแบบเดิมที่ส่งต่อข้อมูลผ่านสายทองแดง ชุดถ่ายทอดสัญญาณแสงสามารถส่งข้อมูลผ่านระหว่างสมองประมวลผลได้เร็วกว่ารับส่งข้อมูลด้วยสายไฟถึง 100 เท่า แต่กินไฟน้อยกว่า 10 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้นชุดรับส่งข้อมูลด้วยแสงยังมีขนาดเล็กกว่าตัวที่พัฒนามาก่อนหน้านี้ 100-1,000 เท่า ช่วยให้ราคาถูกลง ใช้กระแสไฟน้อย ความร้อนต่ำ แต่ส่งผ่านข้อมูลได้คราวละมากกว่าเดิม

พูดง่ายๆความสามารถดังกล่าวเปรียบได้กับเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่ใช้รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่มีขนาดใหญ่รองรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันทั่วโลกในเวลาเดียวกัน ไอบีเอ็มนำความสามารถที่คล้ายกันนี้มาใส่ไว้ในชิพคอมพิวเตอร์

ผู้บริหารไอบีเอ็มกล่าวอย่างมั่นใจว่า ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของการพัฒนาชิพที่ใช้เทคโนโลยีรับส่งข้อมูลด้วยแสง หรือเรียกว่า นาโนโฟโตนิกส์

ที่ผ่านมาระบบประมวลผลที่ก้าวหน้าของไอบีเอ็มถูกนำไปใช้งานหลายด้าน เช่น ด้านควอนตัมฟิสิกส์ ด้านการทำนายสภาพอากาศ และการจำลองแบบระดับโมเลกุล

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ซอฟต์แวร์ค้นเพลงจากเสียงฮัมสืบหาไฟล์เพลงประยุกต์ใช้กับร้านคาราโอเกะ

เชื่อว่าหลายคนเคยเป็นแบบนี้จำทำนองเพลงได้แต่ไม่รู้จักชื่อเพลง นิสิตจุฬาฯ เลยพัฒนาซอฟต์แวร์สืบค้นเพลง โดยฟังทำนองจากเสียงร้องผ่านไมโครโฟน ผลงานโดนใจคว้ารางวัลรองชนะเลิศประเภทนักศึกษาจากการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นายไวยณ์วุฒิเอื้อจงประสิทธิ์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงเป็นผลงานที่พัฒนาเพื่อขอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยร่วมกับนายพงศกร ธีรภาพวงศ์ ด้วยเห็นว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวมีคู่แข่งน้อย และอำนวยความสะดวกให้คนที่อยากฟังเพลง แต่จำชื่อเพลงไม่ได้ค้นหาชื่อเพลง หรือไฟล์เพลง

ซอฟต์แวร์ค้นหาเพลงทำงานโดยอาศัยไมโครโฟนเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ใช้งานร้องหรือฮัมทำนองจะเป็นท่อนไหนของเพลงก็ได้ ถึงจะร้องเพี้ยนเสียงก็ไม่เป็นไร ระบบจะใช้เวลาประมวลผลและค้นหาไฟล์ที่ใกล้เคียง 5 ไฟล์ในเวลา 2-3 วินาที" นักวิจัย กล่าว

ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์"Hum me a tune?comes the song" นำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง13 คน โดยให้ฮัมเสียงเพลงด้วยรูปแบบต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 106 ตัวอย่างกับเพลงต้นแบบจำนวน 100 เพลงทั้งไทย จีน และอังกฤษ เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของระบบการประมวลผล พบว่าให้ความแม่นยำในการค้นหาเพลงมากถึง 85% โดยทีมพัฒนาเชื่อว่าสามารถต่อยอดเป็นซอฟต์แวร์เพื่อการค้าได้

อุปสรรคสำคัญที่ทีมพัฒนาต้องปรับปรุงคือการพัฒนาระบบประมวลผลให้สามารถคำนวณเผื่อค่าผันแปรของรูปแบบเสียง เช่น เสียงสูงต่ำ ดังค่อย เพื่อให้ระบบสืบค้นเพลงได้แม่นยำถึง 100%

ซอฟต์แวร์ดังกล่าวออกแบบให้สืบหาไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสก์ในเครื่องโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชอบฟังเพลงทุกเพศทุกวัย หรือจะประยุกต์ใช้กับธุรกิจร้านอาหาร หรือห้องคาราโอเกะเพื่อทุ่นเวลาพลิกหาเพลงที่ชอบจากหน้ากระดาษจนลายตา

ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงจากทำนองเป็น1 ใน 12 ผลงานที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ส่งเข้าแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศหมวดนิสิตนักศึกษามาครองได้สำเร็จ ส่วนรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ตกเป็นของเยาวชนจากประเทศศรีลังกา

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Tuesday, December 11, 2007

ม.เกษตรแปลงภาพเป็นอักษร ฝีมือเยาวชนไทยคว้าแชมป์เอเชียแปซิฟิก

นิสิตวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ม.เกษตรฯ คว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากการส่งซอฟต์แวร์แปลงรูปภาพเป็นตัวอักษรเข้าประกวด ผลทดสอบให้ความแม่นยำ ได้ข้อความเร็วกว่าพิมพ์

นายนัฏฐ์ปิยะโมทย์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ซอฟต์แวร์แปลงภาพถ่ายตัวหนังสือจากกล้องดิจิทัล หรือภาพจากการสแกนให้เป็นข้อความ ช่วยลดเวลาจดคัดลอกหรือพิมพ์ใหม่ และนำไปใช้งานด้านเอกสารดิจิทัลได้หลากหลาย

ซอฟต์แวร์ดังกล่าวใช้เวลาศึกษามากว่า2 ปี ตั้งแต่เรียนอยู่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย และพัฒนาแล้วเสร็จในเวลา 4 เดือนหลังขึ้นชั้น ม.6 โดยตั้งชื่อซอฟต์แวร์ตัวนี้ว่า ทันใจโอซีอาร์

โปรแกรมแปลงตัวอักษรภาพดิจิทัลหรือที่เรียกว่า โอซีอาร์ มีเผยแพร่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยเป็นซอฟต์แวร์แถมมากับเครื่องสแกนเนอร์ ซึ่งใช้แปลงตัวภาพอักษรโรมันเป็นตัวอักษรในรูปแบบเอกสารพร้อมใช้งาน แต่โปรแกรมใช้งานแปลงภาษาไทยยังมีผู้พัฒนาน้อยราย
โปรแกรมทันใจโอซีอาร์ออกแบบให้แปลงตัวอักษรภาษาไทยจากภาพดิจิทัลให้เป็นตัวอักษรภาษาไทยสำหรับใช้งานกับโปรแกรมเอกสาร เช่น ไมโครซอฟท์เวิร์ด และอื่นๆ

หลังทดสอบการรู้จำของซอฟต์แวร์ด้วยการนำไฟล์ภาพมาให้แปลงพบว่าสามารถแปลงข้อมูลไฟล์ภาพเป็นตัวอักษรได้ 76 ตัวอักษรต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าการพิมพ์ทั่วไป ที่ปกติมีมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 35-45 คำต่อนาที โดยให้ความแม่นยำมากถึง 90-95% ทั้งยังอ่านลักษณะตัวอักษรได้ 6 รูปแบบที่นิยมใช้ในโปรแกรมเวิร์ด นายนัฏฐ์กล่าว

ซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้ทุนสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติมูลค่า7 หมื่นบาท โดยคว้ารางวัลชนะเลิศประเภทนักเรียนจากการแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย

นายสุธีร์สธนสถาพร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย และกรรมการบริหารเอเชีย แปซิฟิก ไอซีที อะวอร์ด กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ทันใจเป็น 1 ใน 6 ซอฟต์แวร์ที่ได้รับรางวัลจากการส่งเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ซอฟต์แวร์ ถือว่าน่าภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะได้รับรางวัลใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ที่ส่งผลงานแข่งขันมากถึง 43 ผลงาน

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

พพ.โชว์ศูนย์อนุรักษ์พลังงาน จัดแสดงนวัตกรรม-เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน

กระทรวงพลังงานทุ่มทุน135 ล้านบาท เปิดศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานเป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังขยายผลเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านพลังงานระดับภูมิภาค

นายพานิชพงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และเป็นตัวอย่างด้านการใช้พลังงานแบบครบวงจร ตลอดจนเป็นศูนย์สาธิตเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วิศวกร นักออกแบบ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ

ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ เทคโนธานี มีพื้นที่ทั้งหมด 14,000ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำหรับแสดง 54 เทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน เช่น การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระบบแสงสว่างประหยัดพลังงาน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน กระจกหน้าต่างอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมแสง การนำความเย็นของอากาศที่ปล่อยทิ้งกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะภาคอุตสาหกรรม 37 เทคโนโลยี ได้แก่ การให้ความร้อนอุณหภูมิสูงโดยใช้คลื่นวิทยุ ระบบจัดการพลังงาน การนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็น และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่างให้แก่อุตสาหกรรมด้วย

"อุปกรณ์สาธิตจำลองมาจากของจริงโดยสามารถทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ และเครื่องจักรได้ทั้งในรูปแบบอินเตอร์แอ็คทีฟและมัลติมีเดีย เพื่อให้ผู้เข้าชมสนุกและได้ความรู้พร้อมกัน ความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบ้าน ที่ทำงาน และอุตสาหกรรมของตน ให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง" นายพานิช อธิบาย

อธิบดีกรมพลังงานทดแทนตั้งเป้าว่าหากการเผยแพร่เทคโนโลยีสู่กลุ่มเป้าหมายในไทยเป็นไปได้ดี จะขยายไปสู่การเป็นศูนย์กลางการอนุรักษ์พลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต้องดูการตอบรับในประเทศก่อน

ด้านนายประมวลจันทร์พงษ์ ผู้อำนวยการกองฝึกอบรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า เทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงในศูนย์ รวบรวมมาตั้งแต่ปี 2536 จากการศึกษาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยมากกว่า 200 ชนิด

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Saturday, December 8, 2007

ซอฟต์แวร์ช่วยคนไข้ไอซียูสื่อสารคล่อง


เนคเทค-ศิริราชทดสอบต้นแบบอุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยแพทย์สื่อสารกับผู้ป่วยที่มีปัญหาการสื่อสาร ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ป่วยไอซียู พิการด้านการพูดจนถึงพาร์กินสัน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นักวิจัยของเนคเทคร่วมกับ แพทย์สาขาอรรถบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลร่วมกันออกแบบ และพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์พร้อมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยการสื่อสารสำหรับผู้มีปัญหาด้านภาษาการพูดและการสื่อความหมาย ซึ่งพร้อมจะนำไปทดสอบในอาสาสมัครแล้ว

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า อุปกรณ์และโปรแกรมดังกล่าวพัฒนาต่อยอดจากการศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนโรงเรียนศรีสังวาลที่มีความผิดปกติด้านสมอง และพัฒนาการด้านการพูดล่าช้าจนได้โปรแกรมที่นำไปใช้งานกับผู้ป่วยระยะพักฟื้นขึ้นอยู่กับอาการป่วย

โปรแกรมแรกเป็นคอมพิวเตอร์ประเมินเสียงพูดภาษาไทย สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และพาร์กินสัน ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดที่เน้นให้ผู้ป่วยหัดเปล่งเสียงออกมาว่าเป็นเสียงอะไรและจดจำไว้แสดงผลในครั้งต่อไป

อีกโปรแกรมหนึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ที่บกพร่องทางการสื่อสาร ให้สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม แบ่งการแสดงผลเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปภาพ เสียง และตัวอักษร สำหรับอ่านเป็นคำเพื่อให้ผู้ป่วยฝึกที่จะเปล่งเสียงออกมาว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร เพื่อจดจำไว้สื่อสารกับผู้ดูแล เช่น แก้วน้ำ แว่นตา ผ้าห่ม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ช่วยสื่อสารในห้องไอซียูและผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นหรือมีอาการเรื้อรัง ผู้ใช้ระบบจะกดเพียง 2 ปุ่มเลือกว่าใช่หรือไม่ใช่เพียงเท่านั้น โดยจัดแบ่งหมวดหมู่ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาการ ซึ่งสามารถนำรูปภาพหรือคำเก็บเข้าระบบเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับความต้องการได้

ผศ.ดร.ศรีวิมล มโนเชี่ยวพินิจ หัวหน้าสาขาอรรถบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า อุปกรณ์และโปรแกรมดังกล่าวช่วยให้การดูแลรักษาและการประเมินผลสำหรับผู้ป่วยเป็นไปได้ง่ายขึ้น

เนื่องจากระบบดังกล่าวช่วยผู้ป่วยสื่อสารกับแพทย์ พยาบาล หรือคนอื่นที่ดูแลได้อย่างเข้าใจ และยังเก็บข้อมูลการทดสอบหรือใช้งานแต่ละครั้งลงในเครื่อง หรือพิมพ์ออกมาเพื่ออ้างอิงถึงพัฒนาการของร่างกายผู้ป่วยกับหน่วยงานหรือโรงเรียนได้อีกด้วย

ทีมวิจัยตั้งเป้าไว้ว่าจะทดสอบในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 30 ราย ภายใน 6 เดือนโดยเน้นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นที่ไม่สามารถสื่อสารได้ เช่น กลุ่มผู้ป่วยสมองพิการ กลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางสมอง กลุ่มผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีพัฒนาการทางด้านสมองหรือการพูดล่าช้า

“ผลการทดลองที่ได้นำไปปรับปรุงระบบให้ทำงานหลากหลายยิ่งขึ้น ก่อนนำไปฝึกอบรมให้แก่ผู้สนใจ เช่นเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย ครอบครัวผู้ป่วย รวมถึงสถานพยาบาลทั่วประเทศ และในอนาคต ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตไปใช้งานติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ได้เอง" ผศ.ดร.ศรีวิมล กล่าว

กานต์ดา บุญเถื่อน

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/
Link: http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/08/WW54_5401_news.php?newsid=209791

Thursday, December 6, 2007

ประกาศพบวิธีใหม่ตรวจมะเร็ง ส่องกล้องนาโนดู การแพร่กระจาย

ความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยี ทำให้นักวิจัยมะเร็งในสหรัฐฯ ประกาศว่าสามารถจะตรวจหาการแพร่กระจายของเซลล์ มะเร็งที่แทรกซึมไปทั่วร่างกายของผู้ป่วยได้

นักวิจัยของศูนย์มะเร็งจอห์นสัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแอนเจลิส นำความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยีมาใช้ตรวจหามะเร็ง และยังกำหนดได้ว่ามันแพร่กระจายรวดเร็วเพียงใด โดยพวกเขากล่าวว่าได้ใช้กล้องจุลทรรศน์พลังอะตอมมิคไปแหย่ด้านข้างของเซลล์ที่มีชีวิต เพื่อดูความยืดหยุ่นของเซลล์ดังกล่าว เพราะว่าเซลล์มะเร็งต้องบีบตัวเองเข้าไปในที่แคบขณะเข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย โดยทั่วไปเซลล์ของโรคมะเร็งจะยืดหยุ่นกว่าเซลล์ที่แข็งแรง การใช้กล้องจุลทรรศน์นาโนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เข้าไปจัดการกับส่วนแหลมของมัน จะทำให้ทราบได้ว่าเซลล์มะเร็งนั้นมีความผิดปกติหรือมีสารก่อมะเร็งหรือไม่

เจมส์ กิมเซวสกี ศาสตราจารย์ด้านเคมี กล่าวว่ากระบวนการนาโนเทคโนโลยีที่ใช้อุปกรณ์ปลายแหลมจิ๋ว ที่สปริงไปผลักดันเซลล์นั้นก็เพื่อดูว่าเซลล์นั้นมีความนิ่มอย่างไร เพราะมันเป็นตัวแสดงว่าเป็นเซลล์ในกลุ่มมะเร็งหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า “เราต้องใช้การวัดความนิ่มของเซลล์โดยไม่ต้องไประเบิดมัน มิเช่นนั้นมันก็จะเหมือนกับการวัดความนิ่มของมะเขือเทศด้วยค้อน ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเราเห็นมะเขือเทศ 2 ผลในซุปเปอร์มาร์เกต มันมีสีแดงทั้งคู่ ผลหนึ่งเน่าแล้วแต่ยังดูเป็นปกติ ถ้าเราหยิบมะเขือเทศนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆแตะดูให้ทั่ว มันก็จะรู้ได้ว่าเน่าแล้ว เช่นเดียวกันนี่คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”

ที่มา: http://www.thairath.co.th/
Link: http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=70707

Monday, December 3, 2007

โลกร้อนแล้ว! วิจัยตั้งรับผลกระทบสำคัญกว่าลดสาเหตุ


นักวิจัยระบุโลกร้อนและอากาศแปรปรวนแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นการตั้งรับผลกระทบเพื่ออยุ่ให้ได้ในการเปลี่ยนแปลง

"โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้โลกร้อนแล้ว อากาศแปรปรวนแล้ว แล้วเราจะอยู่อย่างไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้โดยที่เรายังอยู่รอด จากนั้นอีกร้อยปีค่อยมาว่ากันเรื่องการลดภาวะโลกร้อน" คำกล่าวของ ผศ.ดร.อำนาจ ชิดไธสง บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และคณะทำงานกลุ่มที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของก๊าซมีเทนในบรรยากาศทั่วโลกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี)

ทางด้านนางสุปราณี จงดีไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนในไทยว่า การจะแก้ปัญหาในตอนนี้ต้องรู้เรื่องผลกระทบก่อน หากแต่ปัจจุบันเรารณรงค์เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานเป็นสำคัญแต่ไม่ได้พูดถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยการศึกษาผลกระทบต้องอาศัยข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีความละเอียดเพียงพอเพื่อวางแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

"การรณรงค์ใช้ถุงผ้าถือเป็นการสร้างความตระหนักในการเรื่องของการลดการปลดปล่อย แต่สิ่งที่เราต้องสร้างความตระหนักเป็นเรื่องของผลกระทบ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากกว่าการรณรงค์ใช้ถุงผ้าที่เชื่อมโยงกับการลดการปลดปล่อยและเป็นเรื่องของภาคพลังงาน เพราะตอนนี้โลกได้ร้อนแล้ว" นางสุปราณีกล่าว

นางสุปราณีกล่าวถึงอุปสรรคในการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต้องใช้งบประมาณสูงเพราะต้องใช้นักวิจัยที่มีความสามารถสูงและต้องอาศัยข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐในหลายส่วน เช่น ข้อมูลสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ย้อนไป 30 ปี เป็นต้น พร้อมระบุว่าขณะนี้เรายังไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เพราะยังขาดงานวิจัยรองรับ อีกทั้งเผยว่าต้องการข้อมูลจากหลายหน่วยงาน อย่างในภาคเกษตรที่เกษตรกรอาจจะต้องบันทึกข้อมูลว่าในการเพาะปลูกนั้นได้เกิดปัญหาอะไรบ้าง เช่น มีแมลงรบกวนหรือผลผลิตตกต่ำหรือไม่ เป็นต้น

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000141999

Sunday, December 2, 2007

เทคโนประดิษฐ์-วิศวธรรมศาสตร์โชว์รถเข็นคนพิการนั่งได้ยืนดี


ทีมนักวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ออกแบบรถเข็นสำหรับคนพิการที่สามารถปรับยืนด้วยกลไก ช่วยผู้ป่วยลุกขึ้นทำกายภาพบำบัดได้ด้วยตัวเอง

นายบรรยงค์รุ่งเรืองด้วยบุญ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต กล่าวว่า รถเข็นคนพิการแบบปรับยืนได้ไม่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นโครงการวิจัยของนักศึกษาปริญญาตรี ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)

ทีมนักศึกษาเลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อให้มีน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีกำลังแขนดีมีประวัติเคยยืนหรือเดินได้มาก่อน และผู้ป่วยอัมพฤกษ์หรือผู้สูงอายุที่แขนไม่มีแรงแต่ต้องทำการกายภาพบำบัดด้วยการยืนโดยอาศัยคนพยุงช่วย

รถเข็นที่ทีมนักศึกษาช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจนสำเร็จใช้ต้นทุนพัฒนาเพียง 1.5-1.6 หมื่นบาทเท่านั้น เทียบกับของต่างประเทศที่มีมอเตอร์สำหรับปรับยืนอัตโนมัติจะมีราคาหลักแสนบาท แต่เทคโนโลยีที่นักศึกษาพัฒนาขึ้นได้นี้หากมีการเชิงอุตสาหกรรมราคาจะถูกลงอีก ทีมนักวิจัยตั้งใจไว้แล้วว่าจะพัฒนาขึ้นเพื่อให้คนพิการได้ใช้อย่างทั่วถึง

รถเข็นปรับยืนด้วยกลไกช่วยให้ผู้ใช้สามารถยืนได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยทำให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติ ไม่ว่าจะยืนตากผ้า รดน้ำต้นไม้ ทำกับข้าวหรือเพื่อยืดเส้นยืดสายอย่างเดียวก็ตาม

ต้นแบบรถเข็นปรับยืนอัตโนมัติอยู่ระหว่างให้ผู้ป่วย2 รายนำไปทดลองใช้สำหรับเก็บข้อมูลเพิ่ม และฟังคิดเห็นที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม และทีมงานจะพัฒนาจนกว่าจะเหมาะสมกับสรีระร่างกายของผู้ใช้มากที่สุด หลังจากประดิษฐ์คันต้นแบบแล้วเสร็จ และได้ยื่นจดสิทธิบัตรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

"สิ่งที่วิศวกรไทยทำได้ดี และไม่แพ้วิศวกรต่างชาติคือการออกแบบที่ใช้ต้นทุนต่ำเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของคนไทยด้วยกันเอง พร้อมกับการซ่อมบำรุงในราคาที่ย่อมเยา เนื่องจากนำอะไหล่ที่มีอยู่ในประเทศมาประยุกต์ใช้อย่างรู้วิธี เมื่อเทียบกับของต่างชาติที่เวลาจะซื้อมาใช้ก็มีราคาแพง ทั้งยังต้องอาศัยพลังงานจากมอเตอร์ ยามเมื่อเสียจะซ่อมแต่ละครั้งก็ต้องนำเข้าอะไหล่จากนอกซึ่งไม่คุ้มค่านัก อาจารย์ที่ปรึกษาประจำโครงการกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

"เมืองวิทยาศาสตร์" จินตนาการเด็กสร้างบ้าน-เมืองไร้ปัญหา


โบราณว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" แต่บางทีการคบเด็กสร้างเมืองอาจนำความคิดดีๆ มาสู่ชีวิตคนเราที่มีสารพัดเรื่องรุมเร้าก็ได้ ลองมาดูจินตนาการของเยาวชนในค่าย "เมืองวิทยาศาสตร์" อาจจะโดนใจหลายคนจนอยากจะมีชีวิตอยู่ยาวนานเพื่อรอเมืองในอนาคตก็ได้

ด้วยปัญหารถติดที่เผชิญอยู่ในเมืองหลวง "เชน" หรือ ด.ช.นิพิฐ เจริญงาม นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงวาดภาพเมืองแห่งอนาคต ในจินตนาการของเขาว่า อยากให้มีการเดินทางที่สะดวกโดยไม่ต้องใช้รถส่วนตัวหรือแม้กระทั่งรถประจำทาง แต่ใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตติง (teleporting) ที่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) ที่จะเป็นแหล่งพลังงานของเมือง

"เรามีแดดเยอะและแสงอาทิตย์ก็จะเป็นแหล่งพลังงานได้มาก แม้ปัจจุบันประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานจะมีแค่ 15% แต่อนาคตก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผมก็กำลังทำโครงงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่กว่าจะสำเร็จลงได้ก็อาจจะเลยช่วงชีวิตผมไปแล้วก็ได้" เชนกล่าว

ส่วนสาวน้อยช่างฝันอย่าง "เฟิน" หรือ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ วรขจิต นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แจงว่าอยากให้มี "หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์" ที่จะคอยปราบหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์เอไอ ที่คิดนอกลู่นอกทาง เนื่องจากปัจจุบันหุ่นยนต์เริ่มจะคิดเองได้และตอนนี้เรายังควบคุมได้ แต่อนาคตมนุษย์อาจไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งอยากให้หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์คอยดูแลมนุษย์และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

"เนื่องจากหุ่นยนต์แต่ละตัวจะมีไมโครชิปฝังอยู่ และไมโครชิปแต่ละตัวสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งจะช่วยให้หุ่นยนต์ผุ้พิทักษ์ทราบได้ว่าหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ นั้นคิดอะไรอยู่" เฟินกล่าว พร้อมทั้งเผยว่าอยากเขียนโปรแกรมสร้างระบบปฏิบัติการเล็กๆ ที่เป็นของคนไทย และสามารถใช้งานได้ในองค์กร เพราะส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ซึ่งเป็นของต่างชาติ และอยากพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ภาษาไทยซึ่งคนไทยใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่

จินตนาการเมืองวิทยาศาสตร์ของเยาวชนยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ "โจ้" หรือ ด.ช.ขวัญชัย ปานสุข นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ปทุมธานี เผยถึงเมืองในอนาคตตามความคิดของเขาว่า อยากให้เมืองมีเส้นทางที่แยกเฉพาะสำหรับรถยนต์และคนเดินเท้า โดยทางเดินนั้นก็สามารถเลื่อนได้เองอัตโนมัติ

อีกทั้งอยากให้ทางเฉพาะสำหรบรถด่วนพิเศษเพราะปัจจุบันมีปัญหาที่หลายคนไปทำงานไม่ทัน ส่วนสายไฟก็อยากฝังลงใต้ดิน นอกจากนี้พลังงานที่ขับเคลื่อนเมืองก็อยากให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ร่วมกับพลังงานไฮโดรเจนที่แยกได้จากน้ำ

ขณะที่คนอื่นๆ อาจจะจินตนาการถึงเมืองที่มีความสะดวกสบาย แต่สำหรับ "ต่อ" หรือ ด.ช.ต่อพงศ์ ล้ำเลิศ นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนปทุมคงคา กล่าวว่าความสบายจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพียงแล้วไม่อยากให้มีมากกว่านี้ แต่อยากให้คนสนใจสิ่งแวดล้อมมากกว่า

จินตนาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเยาวชนที่เข้าค่าย "สร้างเมืองวิทยาศาสตร์ในอนาคต" ของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กที่สนใจวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นระหว่าง 30 พ.ย.- 1 ธ.ค.นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมีเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 45 คนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งคัดเลือกจาก 3 กลุ่ม คือกลุ่มเยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (เจเอสทีพี) กลุ่มที่ส่งเรียงความเข้าประกวดและกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียน

ผศ.ดร.ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย ที่ปรึกษาฝ่ายส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษของทีเอ็มซีกล่าวว่า ค่ายนี้จัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษหรือผู้ที่ไม่รู้ตัวว่ามีความสามารถพิเศษ และเป็นการสำรวจ "แวว" ของเด็กที่จะฉายออกมาระหว่างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก คิดและแก้ปัญหา จากนั้นจะได้ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้เข้าโครงการพัฒนาเด็กของทีเอ็มซีอย่างเจเอสทีพีและโครงการอื่นๆ โดยจะสอนให้เยาวชนรู้จักการออกแบบแล้วแบ่งกลุ่มเพื่อลงมือประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในเมืองวิทยาศาสตร์ตามจินตนาการ

"เป็นความพยายามช้อนเด็กที่หลุดลอดจากการคัดเลือกที่ผ่านมา" ผศ.ดร.ยุทธนากล่าว ทั้งนี้เยาวชนในค่ายได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบโดยวิทยากรจากอิสราเอล จากนั้นจะได้ประดิษฐ์ "พัดลม" อย่างง่ายด้วยชุดการเรียนรู้พื้นฐานทางวิศวกรรม K'NEX ที่มีอุปกรณ์พื้นฐานพร้อมให้ประกอบเข้าโดยง่าย ขณะเดียวกันก็สามารถออกแบบให้พัดลมหมุน ส่งเสียงและแสงได้ตามต้องการ ผ่านโปรแกรมสำเร็จที่มีชุดคำสั่งให้ได้ลองเลือกออกแบบพัดลมที่มีคุณสมบัติตามใจ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมให้เด็ก ได้เลือกระหว่างออกแบบบ้าน รถยนต์หรือของเล่นที่จะเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับเมืองวิทยาศาสตร์ในจินตนาการของแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ 3 กลุ่มที่สร้างผลงานถูกใจกรรมการจะได้รับรางวัลด้วย

สำหรับชุดการเรียนรู้ K'NEX ของอิสราเอลที่นำเข้าโดยบริษัท มัลติเอดูเคชั่น จำกัด ซึ่งเคยมีความร่วมกับทีเอ็มซีในการจัดค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนผู้มีความพิการทางสายตา ส่วนจะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ชุดการเรียนรู้ดังกล่าวหรือไม่ ผศ.ดร.ยุทธนากล่าวว่าถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเพราะใช้เป็นอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ให้กับเยาวชนได้โดยการกำหนดหลักสูตรขึ้นมาเอง ขณะที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของชุดการเรียนรู้คือสถานศึกษาต่างๆ เนื่องจากทางบริษัทเน้นขายหลักสูตรที่มูลค่าเป็นเงินบาทอยู่ในหลักแสน

อย่างไรก็ดีจินตนาการของเยาวชนเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นความต้องการเมืองที่ปราศจากปัญหาซึ่งประสบในปัจจุบัน และวิธีแก้ปัญหาที่อาจจะเป็นไปได้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนจะเป็นจริงได้หรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่ความมุ่งมั่นของเขาเหล่านั้นนั่นเอง

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000142592

Saturday, December 1, 2007

นักวิทย์จุฬาฯ ชี้ “พายุ -น้ำหลาก -แผ่นดินทรุด” น่ากลัวกว่า “น้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ”


นักวิทย์จุฬาฯ ชี้ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มนุษย์เร่งให้เกิดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และการโหมใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย ย้ำไม่หวั่นปัญหาน้ำทะเลจะเข้าท่วมกรุงเทพฯ เพราะไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่น่ากลัวกว่า เช่นพายุ น้ำหลาก และแผ่นดินทรุด เสนอต้องให้ความรู้ประชาชนช่วยแก้ปัญหาคนละไม้คนละมือ

เมื่อช่วงสายวันที่ 1 ธ.ค.ในรายการทันโลกวิทยาศาสตร์ ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ คลื่นความถี่เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ดำเนินรายการโดย ผศ.มานิต รุจิวโรดม ได้มีการสัมภาษณ์พิเศษ ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลกระทบถึงประเทศไทย

ผศ.พงษ์ กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนหมายถึงภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจนมีผลกระทบต่อชีวิตพืชและสัตว์ ซึ่งไม่จำเป็นที่อุณหภูมิทั่วโลกจะสูงขึ้นทุกจุด บางจุดอาจมีอุณหภูมิลดลงก็ได้ แต่เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยร่วมกันจะพบว่าอุณหภูมิโดยรวมสูงขึ้น ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นจริงเช่นนั้น โดยการเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะทำให้เห็นภาพได้ถูกต้องกว่า เพราะจะให้ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในหลายรูปแบบและเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างจากภาวะโลกร้อนที่คนมักคิดกันว่า อากาศโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างเดียว และเป็นไปอย่างรุนแรง

ทั้งนี้ ผศ.พงษ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลานานแล้ว โดยมีวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกๆ 100,000 ปี สลับกันไปมาระหว่างยุคน้ำแข็งประมาณ 80,000 ปี และยุคที่น้ำแข็งเริ่มละลายซึ่งกินเวลาอีกประมาณ 20,000 ปี ก่อนโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกคือ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ ซึ่งโลกจะมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่คงที่ บ้างโคจรเป็นวงกลม โลกก็จะได้รับพลังงานสม่ำเสมอและเกิดความอบอุ่น ขณะที่บางเวลาก็จะโคจรเป็นวงรี ทำให้โลกได้รับพลังงานน้อยลงและกลับเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง

นอกจากนั้น โลกยังมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะคล้ายการผงกศีรษะขึ้นลง 1 -2 องศาด้วย ทำให้แกนโลกเอียง 22 1/2 องศาจนถึง 24 1/2 องศา ซึ่งปัจจุบันแกนโลกเอียง 23 1/2 องศา โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีคาบทุกๆ 41,000 ปี อีกทั้งแกนโลกยังมีการส่ายไปรอบๆ แกนที่ตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ แกนโลกจึงส่ายไปมาคล้ายลูกข่างเป็นคาบๆ ละประมาณ 26,000 ปี ดังนั้นในอีก 13,000 ปี แกนโลกจึงจะเปลี่ยนจากการชี้ไปยังดาวเหนือ (Polaris) ไปเป็นชี้ไปยังดาวเวกา (Vega) และจากนั้นอีก 13,000 ปี แกนโลกจึงกลับมาชี้ไปยังดาวเหนืออีกครั้งหนึ่ง โดยทั้ง 3 วัฏจักรนี้รวมเรียกว่าวัฏจักรของมิลานโควิช (Milankovich cycles) ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกทั้งหมด

แต่แม้โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ผศ.พงษ์ กล่าวด้วยว่า มนุษย์ถือเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วมากที่สุด โดยเฉพาะการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวเก็บสะสมธาตุคาร์บอนลงสู่พื้นดินตลอดหลายล้านปีมาใช้ในเวลาประมาณ 100 ปี จนปัจจุบันเหลือใช้ได้ไม่ถึง 50 ปีแล้ว และส่งผลให้คาร์บอนใต้ผิวดินกลับขึ้นมาหมุนเวียนสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก รวมไปถึงการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นตัวรักษาความชุ่มชื้นของอากาศให้หมดไป ตลอดจนการก่อสร้างตึกอาคาร และการใช้พลังงานอย่างมหาศาล ที่ส่งผลถึงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่พบแล้ว เช่น ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.2 -1.8 องศาเซลเซียส และข้อกังวลว่าธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือจะหดตัวลงมาก จนส่งผลถึงแหล่งต้นน้ำตามธรรมชาติของประเทศซีกโลกเหนือตอนบนที่อาจขาดแคลนแหล่งน้ำอุปโภค –บริโภคได้ในอนาคต อีกทั้งเกรงว่าน้ำแข็งที่ละลายจะไหลลงสู่ทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 1.8 ม.ม./ปีด้วย

อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์ ชี้ว่า แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทยมากนัก โดยเฉพาะปัญหาน้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ ที่หลายฝ่ายกังวลกันซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าจะเกิดปัญหาจริง ขณะที่ปัญหาเรื่องพายุ น้ำทะเลหนุน น้ำหลาก ตลอดจนปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุดปีละนับกว่า 10 ซ.ม.ฯลฯ ถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้น ผศ.พงษ์ กล่าวว่า จึงจำเป็นที่ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนให้ทราบถึงที่มาที่ไปของปัญหา เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันลดปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหากันคนละเล็กละน้อย ซึ่งแม้จะไม่ช่วยให้ไม่ให้เกิดปัญหาได้ แต่ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆ ทุเลาลง เช่น การลดใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบรรเทาวิกฤติ เป็นต้น

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000142723

Friday, November 30, 2007

เริ่มแล้วดาราศาสตร์โอลิมปิกครั้งที่ 1 ไทยประเดิมเจ้าภาพ

ไอโอเอเอ - ประเทศไทยรับเกียรติเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกฯ ครั้งที่ 1 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ พร้อมส่งเสริมให้นักเรียนสนใจในดาราศาสตร์เพิ่มขึ้น

มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯ (สอวน.), ศูนย์ สอวน. วิชาดาราศาสตร์, สมาคมดาราศาสตร์ไทย, กระทรวงศึกษาธิการ, สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดการแข่งขันดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1 (The 1st International Olympiad on Astronomy and Astrophysics: IOAA) ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.– 9 ธ.ค.50 โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันจาก 22 ประเทศทั่วโลก

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 29 พ.ย.50 ตัวแทนผู้เข้าร่วมแข่งขันแต่ละประเทศได้เริ่มทยอยเดินทางมาถึงประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ ประเทศศรีลังกา ยูเครน เบลารุส พม่า และโบลิเวีย ตามลำดับ โดยมีตัวแทนคณะกรรมการดำเนินงานจากประเทศไทยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้นคณะนักเรียนที่เข้าร่วมแข่งขันเข้าพักที่สำนักบริการวิชาการ (UNISERV) มช. และคณะหัวหน้าทีมของแต่ละประเทศเข้าพักที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่

ทั้งนี้วันที่ 30 พ.ย.50 มีตัวแทนผู้เข้าร่วมแข่งขันทยอยเดินทางถึงประเทศไทยอีกจนครบ 22 ประเทศ เพื่อลงทะเบียนในเวลาประมาณ 08.00 น ที่สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว ในเวลาประมาณ 17.00 น.

IOAA ได้ก่อตั้งขึ้นมาให้เป็นองค์กรระหว่างประเทศ สำหรับจัดการแข่งขันดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาสนใจและศึกษาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ อีกทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบ 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและในวโรกาสครบ 84 พรรษาของสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

สามารถติดตามรายละเอียดการแข่งขันเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ioaa.info/ioaa2007/

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000142587

Thursday, November 29, 2007

แบตเตอรี่อนาคตบางกว่ากระดาษ แหล่งพลังงานอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง

นักวิจัยสหรัฐคิดค้นแบตเตอรี่แบบใหม่พิมพ์ลงบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เลย ให้กำลังไฟฟ้ามากกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป เหมาะกับอุปกรณ์ประเภทใช้แล้วทิ้ง

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียใช้สารเคมี "ซิงก์-คาร์บอน" แบบเดียวกับที่ใช้ทำแบตเตอรี่ทั่วไปมาพิมพ์เป็นแผ่นบางวางลงบนพื้นผิวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ป้ายอิเล็กทรอนิสก์ และจอภาพขนาดเล็ก

พวกเขาทดลองพิมพ์แบตเตอรี่แผ่นบางด้วย "หมึกท่อนาโนคาร์บอน" เริ่มจากชั้นแรกสำหรับทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้า แล้วทับด้วยหมึกท่อนาโนอีกชั้นผสมกับแมงกานีส ออกไซด์ และอิเล็กโทรไลต์ ทำหน้าที่เป็น "แคโทรด" หรือขั้วลบให้ประจุไฟฟ้าวิ่งออกจากแบตเตอรี่ และทับด้วยแผ่นฟอยล์สังกะสีเป็นชั้นที่สาม แต่รวมกันแล้วแผ่นแบตเตอรี่ยังมีขนาดหนาไม่ถึงมิลลิเมตร

โดยหลักการแล้ว หากต้องการกระแสไฟฟ้ามากขึ้นสามารถเพิ่มชั้นท่อนาโนคาร์บอนลงไปได้อีก กระแสไฟฟ้าที่ได้จากชั้นท่อนาโนคาร์บอนที่ซ้อนกันจำนวนมากให้กำลังไฟฟ้ามากกว่าเทคนิคเดิมที่ซ้อนวางด้วยแผ่นโลหะ กระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าแบบใหม่ยังไม่ชะลอกระบวนการเคมีไฟฟ้าที่ใช้ผลิตกระแสไฟด้วย

นักวิจัยกล่าวว่า แบตเตอรี่อย่างบางไม่ต่างจากแบตเตอรี่ปกติเว้นแต่เปลี่ยนมาใช้โครงสร้างเล็กระดับนาโนเมตรแทนโลหะและขั้วนำไฟฟ้าอย่างที่ใช้กันอยู่เท่านั้น ถ้าออกแบบให้ดี แบตเตอรี่บางสามารถให้กำลังไฟได้มากกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปในขนาดเท่ากัน ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์ประเภทพกพาติดตัวอย่างมาก

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้คิดค้นตัวเก็บประจุที่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากมายโดยใช้เทคนิคหมึกท่อนาโนคาร์บอนอย่างเดียวกัน และมีแผนจะผนวกตัวเก็บประจุเข้ากับแบตเตอรี่สำหรับใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟสูงขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มือนาโนตรึงเม็ดเลือดไขปริศนายามะเร็ง-มาลาเรีย

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ถ่ายทอดความรู้ให้นักวิจัยไทยในการประชุมวิทยาศาสตร์นานาชาติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เผยผลงานมือจิ๋วระดับนาโนเมตรตรึงเม็ดเลือดแดงเพื่อวัดความยืดหยุ่น ใช้ประโยชน์ในห้องแล็บผลิตและทดสอบฤทธิ์ยา รวมทั้งวินิจฉัยโรคมาลาเรียและมะเร็ง

สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์จัดการประชุมวิทยาศาสตร์นานาชาติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ครั้งที่ 6 ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์จาก 44 ประเทศเข้าร่วม เชิญ ศ.ดร.ซูบรา ซูเรซ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา ถ่ายทอดผลงานความสำเร็จในการพัฒนาชุดตรวจวัดความยืดหยุ่นของเม็ดเลือดแดงสำหรับใช้ประโยชน์ในห้องแล็บผลิตยา และตรวจวินิจฉัยโรคเลือดบางชนิด

ศ.ดร.ซูบรากล่าวว่า ในคนทั่วไปเม็ดเลือดแดงมีขนาด 8 ไมครอน เมื่อต้องเคลื่อนที่ผ่านเส้นเลือดขนาดต่างๆ ซึ่งเล็กสุดอยู่ที่ 2 ไมครอน เม็ดเลือดแดงจะบีบตัวเพื่อที่จะผ่านเส้นเลือดขนาดเล็กได้

แต่กรณีผู้ป่วยมาลาเรียเชื้อมาลาเรียจะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของหลอดเลือดเปลี่ยนแปลง เม็ดเลือดไม่สามารถบีบตัวเข้าสู่หลอดเลือด ทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตัน หรือกรณีผู้ป่วยมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะทำปฏิกิริยาให้เม็ดเลือดยืดหยุ่นมากเกินไป จนสามารถไหลผ่านออกนอกเส้นเลือด และเป็นสาเหตุให้เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกาย

จากองค์ความรู้ดังกล่าวศ.ดร.ซูบรา จึงคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์วิเคราะห์การยืดหยุ่นของเม็ดเลือด โดยสร้างตัวยึดขนาดจิ๋วหรือระดับนาโนเมตร ยึดติดเม็ดเลือดแดงที่ได้จากการเจาะเลือด แล้วยิงเลเซอร์เพื่อให้ตัวยึดยืดออก จากนั้นก็ตรวจวัดหาความผิดปกติในการยืดหยุ่น เปรียบเทียบการยืดหยุ่นที่เกิดในร่างกาย ประโยชน์ที่จะได้จากการยึดเม็ดเลือดนี้ สามารถใช้ในการวิจัยทดสอบยา และพัฒนาสู่การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งและมาลาเรีย

"ทีมงานจะพัฒนาตัวยึดจิ๋วนี้ให้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดแบบเคลื่อนที่ เพื่อรองรับการใช้งานในห้องแล็บให้สะดวกมากขึ้น" ศ.ดร.ซูบรา กล่าว

ศ.ดร.ศกรณ์มงคลสุข หัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า สถาบันกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มีความร่วมมือทางวิชาการกันอยู่แล้ว ในส่วนของ ศ.ดร.ซูบรา จะเป็นโครงการอนาคตที่จะร่วมกันทดสอบยา ในกลุ่มยาต้านมะเร็งและยาต้านมาลาเรีย โดยใช้ชุดตรวจวัดความยืดหยุ่นของเม็ดเลือดนี้ เป็นอุปกรณ์หลักในการทดสอบฤทธิ์ยา

ที่มา: หลังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, November 28, 2007

หุ่นยนต์กีตาร์ตั้งสายได้เองเหมือนมืออาชีพ

นักเล่นกีตาร์เป็นคงเคยหงุดหงิดที่ตั้งสายไม่เหมือนเพลงต้นฉบับเสียทีผู้ผลิตกีตาร์ชั้นนำของสหรัฐเลยพัฒนากีตาร์รุ่นใหม่ สามารถปรับสายกีตาร์ได้เองเมื่อเปลี่ยนสาย และยังมีปุ่มปรับเสียงพิเศษ 6 ปุ่ม ให้กดเลือกตามใจชอบ

หลังจากวิจัยอยู่นาน15 ปี กิบสัน กีตาร์ ได้ฤกษ์เปิดตัวหุ่นยนต์กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกของโลกสามารถตั้งสายกีตาร์ได้เองเสร็จสรรพ พร้อมวางตลาดเดือนหน้าต้อนรับปีใหม่ จับตลาดทั้งนักเล่นกีตาร์ และพวกอยากรู้อยากเห็นที่ชอบสะสมของแปลก

ผู้บริหารบริษัทกิบสันบอกว่า หุ่นยนต์กีตาร์ไม่ได้ช่วยให้บรรเลงกีตาร์ได้เก่งขึ้น แต่ช่วยให้นักเล่นกีตาร์ทั่วไปมีระบบตั้งสายที่ทันสมัยล้ำยุค พร้อมปุ่มพิเศษ 6 ปุ่ม ที่ตั้งสายให้เหมือนกับเพลงต้นฉบับอย่างเช่น เพลงวูดู ไชลด์ ที่บรรเลงโดย จิมิ เฮนดริก และเพลงโกอิง ทู แคลิฟอร์เนีย ฝีมือกีตาร์ชั้นเทพ เลด เซฟปลิน และเพลงเซอร์เคิล เกม โดยโจนี มิเชล

หุ่นยนต์กีตาร์รุ่นนี้เหมาะตั้งแต่มือสมัครเล่นที่มีปัญหาตั้งสายกีตาร์ไปจนถึงมืออาชีพซึ่งเวลาไปแสดงสดมักต้องอาศัยช่างเทคนิคคอยปรับเสียงกีตาร์ให้เล่นได้หลากหลายโทนเสียง พวกมืออาชีพเหล่านี้ใช้วิธีตั้งเสียงที่แปลก ทำให้คนที่อยากเล่นเสียงกีตาร์แบบนั้นบ้างไม่สามารถปรับเสียงให้ออกมาได้เหมือนเพลงต้นฉบับ

เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเล่นกีตาร์มักเจอกับปัญหาตั้งสายไม่ได้ดังใจบางครั้งอุณหภูมิในห้องที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เสียงที่ตั้งไว้แปร่งได้เหมือนกัน

แต่ใช่ว่าทุกคนยินดีปรีดากับหุ่นยนต์กีตาร์ไฟฟ้าที่ช่วยทำให้การตั้งสายเป็นเรื่องง่ายนักเล่นกีตาร์รายหนึ่งบอกว่า ถ้าแค่ตั้งสายซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานยังทำไม่ได้ก็อย่าไปเล่นมันเลยดีกว่า และหุ่นยนต์กีตาร์ทำให้คนขี้เกียจเกินไป

กิบสันตั้งใจวางจำหน่ายหุ่นยนต์กีตาร์รุ่นพิเศษ4,000 ตัว ในต้นเดือนหน้า ในราคาเกือบ 9 หมื่นบาท แล้วค่อยออกรุ่นมาตรฐานตามมาทีหลังต้นปี 2551 จำหน่ายทั่วโลก

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ฐานปล่อยพร้อม 98% แต่กำหนดใหม่ยิง "ธีออส" 9 ม.ค.51


เปลี่ยนกำหนดส่ง "ธีออส" อีกครั้งเป็น 9 ม.ค.ปีหน้า "ชาญชัย" ระบุเหตุฐานปล่อยจรวดยังไม่เรียบร้อยตามที่ต้องการ แต่แจงฝรั่งเศสรายงานฐานปล่อยพร้อมแล้ว 98% อย่างไรก็ดีกำหนดส่งยังอยู่ในช่วงเวลาตามสัญญา หากเลยกำหนดไทยมีสิทธิปรับแต่เท่าไหร่ยังไม่ทราบ ชี้หากส่งดาวเทียมขึ้นไประเบิดกลางอากาศฝรั่งเศสต้องรับผิดชอบสร้างใหม่เสปกเดิม พร้อมให้บริการข้อมูลดาวเทียมสปอตอย่างต่อเนื่อง

ยังต่องรอกันต่อกับ "ธีออส" ดาวเทียมทรัพยากรดวงแรกของไทยที่ได้มาด้วยการแลกเงินไปกว่า 6,000 ล้านบาทเพื่อว่าจ้างให้บริษัทแอสเทรียม เอส.เอ.เอส.ของฝรั่งเศสเป็นผู้สร้างและส่งดาวเทียม โดยกำหนดใหม่ในส่งดาวเทียมดังกล่าวเข้าสู่วงโคจรคือ 9 ม.ค.2551 หลังจากก่อนหน้านี้กำหนดไว้ประมาณ 4 ธ.ค.นี้ ณ ฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศยัชนี (Yahni) ชายแดนประเทศรัสเซีย นับเป็นครั้งที่ 5 ของการกำหนดปล่อยดาวเทียมดวงนี้

นายชาญชัย เพียรวิจารณ์พงศ์ ผู้อำนวยการโครงการดาวเทียมธีออส สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) ระบุว่ากำหนดครั้งใหม่สำหรับปล่อยดาวเทียมธีออสนี้ยงอยู่ในช่วงเวลาของการปล่อยตามสัญญาคือระหว่าง 19 ก.ค.50-19 ม.ค.51 ซึ่งการเลื่อนออกไปครั้งนี้ก็สบายๆ ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่ถ้าเลยกำหนดโดยไม่มีเหตุอันควรทางฝรั่งเศสต้องถูกปรับตามสัญญาแต่เป็นเท่าไหร่นั้นยังบอกไม่ได้ แต่หากมีเหตุสุดวิสัยก็ต้องดูกันอีกที

"ขณะนี้ได้ส่งวิศวกรไทย 2 คนเข้าร่วมสังเกตการณ์ที่ฐานปล่อยจรวดร่วมกับวิศวกรฝรั่งเศส 10 คน โดยตัวแทนวิศวกรไทยเข้าร่วมสังเกตการณ์ที่ฐานปล่อยตามตารางซึ่งจัดเวียนสำหรับวิศวกรในโครงการ 20 คน" นายชาญชัยกล่าว

สาเหตุที่ไม่สามารถส่งดาวเทียมธีออสขึ้นไปตอนนี้ นายชาญชัยแจงว่าต้องดูให้ทุกอย่างพร้อมและเรียบร้อยทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้ที่ฐานปล่อยยังไม่เรียบร้อยและครบถ้วนสมบูรณ์ตามกำหนด แต่ล่าสุดทางฝรั่งเศสแจ้งมาว่าพร้อมแล้ว 98% พร้อมให้ข้อมูลว่าฐานปล่อยธีออสในรัสเซียได้ปล่อยดาวเทียมแล้ว 3 ดวงในปีนี้ซึ่งดวงล่าสุดเป็นของสหรัฐอเมริกาซึ่งปล่อยไปเมื่อ 7 ก.ค. และกำหนดให้เว้นระยะในการปล่อยดาวเทียมแต่ละดวง 30-35 วัน

นอกจากนี้หากฝรั่งเศสส่งดาวเทียมธีออสขึ้นไปแล้วเกิดความเสียหายหรือเกิดระเบิดขึ้น นายชาญชัยกล่าวว่าทางบริษัทแอสเทรียมต้องรับผิดชอบในการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ตามรูปแบบเดิมและยิงกลับขึ้นไปใหม่ และระหว่างนั้นไทยก็สามารถรับข้อมูลดาวเทียมสปอต 5 (SPOT5) ของฝรั่งเศสต่อเนื่องจนกว่าจะได้ดาวเทียมดวงใหม่

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000141428

ไอซีทีเปิดเว็บไซต์รวมพระราชกรณียกิจ"ในหลวง"

เปิดเว็บไซต์สำนักราชเลขาธิการ ให้ประชาชนได้สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและพระราชดำริของในหลวงผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

เวลา 14.00 น. วันที่ 28 พ.ย.ที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นประธานเปิดเว็บไซต์ www.ohmpps.go.th หรือ Office of His Majesty’s Principal Private Secretary ของสำนักราชเลขาธิการ ที่ไอซีที ร่วมกับสำนักราชเลาธิการ จัดทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถสืบค้นข้อมูลพระราชกรณียกิจ พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศ์ ตลอดจนภารกิจขององคมนตรี ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

โดยสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ซิป้า ทำหน้าที่พัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล คอนเท้นท์ โดยรวบรวมเอกสารตั้งแต่ พ.ศ. 2489 จนถึง พ.ศ. 2550 จากเอกสารที่จัดเก็บในรูปแบบไมโครฟิล์ม สมุดปิดข่าว และหนังสือต่างๆ เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นหน้า ส่วนบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (หมาชน) และ ทีโอที ทำหน้าที่จัดหาฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการทำงาน รวมถึงระบบควบคุมการป้องกัน และการเก็บข้อมูลของสำนักราชเลขาธิการ โดยสำนักราชเลขาธิการจะเพิ่มเติมข้อมูลในทุกส่วนของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ประชาชนสามารถสืบค้นข้อมูลสำคัญจากหนังสือ ภาพ และวิดีทัศน์ โดยมีเครื่องมือในการสืบค้นเพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ได้หลากหลาย ทั้งพิมพ์คำค้นหา ประเภทเอกสาร และช่วงวัน เดือน ปี

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/
Link: http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=147388&NewsType=1&Template=1

Tuesday, November 27, 2007

"โลกร้อน" กระเทือนถึงพืช-ผักและสรรพสัตว์บนโต๊ะอาหาร


เอเยนซี - นักวิทยาศาสตร์ระบุผัก-ผลไม้และเนื้อสัตว์บนโต๊ะอาหารที่เรารับประทานในแต่ละวันล้วนได้รับผลกระทบจากภาวะ "โลกร้อน" เพราะสภาพอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

เมื่อกระแสภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Global warming) กำลังได้รับความสนใจ นักวิจัยต่างพยายามที่จะประเมินผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อปศุสัตว์ ผักและธัญพืชอย่างข้าว เพื่อหาทางเสริมความต้านทานโรคและความหลากหลายของสายพันธุ์ที่แข็งแรง ซึ่งคนยากจนทั่วโลกนับพันล้านที่เป็นทั้งผู้ผลิตและบริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้จะต้องแบกรับผลกระทบรุนแรงที่จะตามมา

ถือเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในที่ประชุมเกี่ยวเกษตรกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจบลงไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ เมืองไฮเดอราบัดทางตอนใต้ของอินเดีย

"เวลาที่จะแก้ปัญหาได้ผ่านไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว" จอห์น แมคเดอร์มอตต์ (John McDermott) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยปศุสัตว์นานาชาติในฐานวิจัยกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา กล่าวถึงสถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พร้อมยกตัวอย่างว่าไข้ริฟท์ วัลเลย์ (Rift Valley Fever) หรืออาร์วีเอฟ (RVF) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสมรณะที่แพร่ไปยังแกะ อูฐ วัวควายและคนโดยการถูกยุงกัดนั้นก็โหมเชื้อจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วย

แมคเดอร์มอตต์กล่าวอีกว่า ไวรัสไข้อาร์วีเอฟพบในแอฟริกาตะวันออกและเอเชียกลางเพราะมีความหลากหลายทางภูมิอากาศในอาณาเขตที่แห้งแล้งซึ่งช่วยให้พาหะนำโรคอย่างยุง แมลงดูดเลือด เห็บและหมัดนั้นแพร่พันธุ์ได้ดี โดยชี้ให้เห็นว่าหากเราพบโรคต่างๆ ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งไม่เคยพบโรคดังกล่าวอุบติขึ้นก็สันนิษฐานได้ว่าสัตว์บางชนิดได้กระจายไปยังพื้นที่ซึ่งสัตว์เหล่านั้นไม่เคยอาศัยอยู่

สำหรับคนยากจนแล้วปศุสัตว์ก็เปรียบเสมือนธนาคารเงินฝาก ที่เขาเหล่านั้นสามารถใช้แตะเบาๆ ก็สามารถดำรงชีวิตได้จากการขายสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ซึ่งแมคเดอร์มอตต์แจงว่าคนจนเหล่านั้นไม่ได้สร้างรอยเท้าทางนิเวศน์ (ecological footprint) หรือผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ของระบบนิเวศโลกมากนัก แต่ก็เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องเสี่ยงจากความเสียหายเนื่องจากโรคที่เกิดกับปศุสัตว์ซึ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นเนื่องจากการปรากฏการ์ณทางภูมิอากาศ

นักวิทยาศาสตร์ยังศึกษารูปแบบการเพาะปลูกและการเกิดโรคในพืชผักตั้งแต่หัวมันฝรั่ง มะเขือเทศ หัวหอม กระเทียม ไปจนถึงผักใบเขียวจำพวกกะหล่ำและผักโขม เพื่อดูว่าจะสามารถเพาะปลูกท่ามกลางความกดดันซึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อนและผลข้างเคียงได้อย่างไร ซึ่งแจกกี ฮิวส์ (Jackie Hughes) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฐานวิจัยศูนย์พืชผักโลก (World Vegetable Centre) ในเมืองซั่นหัว ไต้หวัน กล่าวว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาด้านน้ำ

"คุณกำลังจะประสบกับพายุไต้ฝุ่น ไซโคลนและเฮอร์ริเคน" ฮิวส์กล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่าผู้เพาะปลูกจำเป็นต้องเพาะปลูกในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อจัดการกับปัญหาน้องท่วม ใช้ฝนเทียมและระบบป้องกันแมลงกับพืชผลของพวกเขา และอาจต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูก เช่น ย้ายหัวหอมไปยังอีกทีหนึ่ง และย้ายมะเขือเทศกับกะหล่ำปลีไปยังบริเวณที่แห้งมากๆ เป็นต้น

ฮิวส์แจงอีกว่าความสำเร็จในการติดตามผลกะทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีต่อพืชผลทางการเกษตรนั้นมีความสำคัญต่อโลกซึ่งมีประชากรนับพันล้านที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ โดยเธอได้ให้ข้อมูลอีกว่าโดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่จะต้องการบริโภคผักประมาณปีละ 74 กิโลกรัมแต่ส่วนใหญ่ก็บริโภคไม่ถึงเกณฑ์ดังกล่าว

นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่สร้างความเสียหายต่อมะเขือเทศจากโรคอันเนื่องจากสภาพอากาศซึ่งสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่การเพาะปลูกมะเขือเทศ

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000140378

8 ดาวแคระขาวประหลาดบนทางช้างเผือก คาร์บอนเต็มชั้นบรรยากาศ


เอเยนซี/สเปซด็อทคอม/แอริโซนายู – นักดาราศาสตร์พบ 8 ดาวแคระขาวชนิดใหม่บนทางช้างเผือก ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยคาร์บอนต่างจากตำราเดิมที่ดาวชนิดนี้จะต้องมีไฮโดรเจนและฮีเลียม เตรียมค้นหาที่มาการดับของดวงดาวว่ามวลน้อยหรือซูเปอร์โนวา

ดาวแคระขาว (white dwarf) ถือเป็นจุดจบของดาวฤกษ์กว่า 97% ในเอกภพ รวมถึงดวงอาทิตย์ของเราในอีก 5 พันล้านปีด้วย เมื่อก๊าซฮีเลียมอันเป็นเชื้อเพลิงสำคัญของปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่ใจกลางดาวหมดลง จึงเกิดการระเบิดพัดพาเอาผิวด้านนอกไป ดาวยุบตัวเหลือเพียงแกนดาวที่อัดแน่นกลายเป็น "ดาวแคระขาว" ส่องแสงสลัวๆ ขนาดใหญ่กว่าโลกของเราเพียงเล็กน้อย พร้อมกับกลุ่มก๊าซปกคลุมชั้นบรรยากาศไว้บางๆ เป็นก๊าซไฮโดรเจน 80% และก๊าซฮีเลียมอีก 20%

ทีมของ ดร.ปาทรีก ดูฟูร์ (Patrick Dufour) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ จากหอดูดาวสตีวาร์ด (Steward Observatory) มหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) สหรัฐฯ เผยว่า พวกเขาได้ค้นพบดาวแคระขาว 8 ดวงที่มีคุณสมบัติต่างออกไป โดยมีอุณหภูมิ 18,000-23,000 เคลวิน (เทียบกับพื้นผิวดวงอาทิตย์มีประมาณ 5,780 เคลวิน) ที่สำคัญคือแทบไม่มีร่องรอยของก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฮีเลียมเลย

มีเพียงแต่แกนกลางที่เป็นเศษเถ้าถ่านซึ่งประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจนที่เหลือจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในสัดส่วนพอๆ กันเท่านั้น ขณะที่เถ้าถ่านบางส่วนก็ลอยปกคลุมชั้นบรรยากาศเอาไว้

“ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะดาวแคระขาวที่เราเคยค้นพบ ไม่อุดมไปด้วยไฮโดรเจน ก็ฮีเลียมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่การค้นพบครั้งนี้ไม่ใช่ จึงนับเป็นการค้นพบดาวฤกษ์ชนิดใหม่ไปเลย” ดูฟูร์กล่าว ซึ่งโดยปกติแล้วมวลของดาวฤกษ์ 85% จะหายไปหลังจากที่มันยุบตัว และอาจเป็นได้ว่าจะสูญเสียไฮโดรเจนและฮีเลียมจนหมดไปในขั้นนี้

ขณะที่การวิจัย ณ เวลานี้พบว่า มีดาวแคระขาว 2-3 ดวงเท่านั้นที่กล่าวได้ว่าไม่มีก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลืออยู่เลย

ทั้งนี้ ดูฟูร์ พร้อมทีมวิจัยอีก 3 คน คือ ศ.เจมส์ ลีเบิร์ท (James Liebert) และนักวิจัยอื่นๆ อีกจากมหาวิทยาลัยมอนทรีอัล (the Université de Montréal) ประเทศแคนาดา และจากหอดูดาวปารีส (Paris Observatory) ประเทศฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์รายงานผลการค้นพบลงในวารสารเนเจอร์ (Nature) ฉบับวันที่ 22 พ.ย.

เดิมทีลีเบิร์ทค้นพบดาวแคระขาวชนิดใหม่นี้ตั้งแต่ปี 2546 และเรียกว่าดาวประเภทนี้ว่า "ดีคิว" (DQ) และเมื่อมองดีคิวในคลื่นแสงที่ตามองเห็น ทำให้พบว่าชั้นบรรยากาศของดีคิวเต็มไปด้วยฮีเลียมและคาร์บอน ซึ่งการหมุนเวียนความร้อนภายใน ทำให้คาร์บอนจากแกนดาวที่เต็มไปด้วยคาร์บอนและออกซิเจนถูกดึงขึ้นมาที่ชั้นบรรยากาศด้วย

แรกเริ่มดูฟูร์ได้พัฒนาแบบจำลองเพื่อวิเคราะห์ชั้นบรรยากาศของดีคิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอกที่ ม.มอนทรีอัล ในตอนนั้นแบบจำลองของเขาเลียนแบบการเกิดดาวดีคิวแบบเย็นคือมีอุณหภูมิระหว่าง 5,000 - 12,000 องศาเคลวิน โดยอาศัยฐานข้อมูลดาวแคระขาวประมาณ 10,000 ดวงของเอสดีเอสเอส (SDSS : Sloan Digital Sky Survey)

เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาดูฟูร์ร่วมงานกับหอดูดาวสตีวาร์ด เขาเขยิบไปอีกขั้นด้วยการสร้างแบบจำลองค้นหาดาวดีคิวที่มีความร้อนสูงกว่าเดิมถึง 24,000 เคลวิน ดูฟูร์ทำแบบจำลองค้นหาดาวดีคิวนับ 200 ดวงที่เต็มไปด้วยคาร์บอนเพียงอย่างเดียว นั่นเพราะไม่เคยมีผู้ใดทำแบบจำลองชั้นบรรยากาศของดาวแคระขาวให้มีปริมาณคาร์บอนมีมากเท่านี้มาก่อน

ในที่สุดเขาก็ค้นพบดาวแคระขาวที่เต็มไปด้วยคาร์บอนตามแบบจำลองที่วิเคราะห์ขึ้นจริง จากฐานข้อมูลของเอสดีเอสเอส

พวกเขาและทีมค้นพบดาวแคระขาวที่ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยคาร์บอนถึง 8 ดวงเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ณ หอดูดาวอาปาเซ พอยท์

ดาวแคระขาวชนิดใหม่ทั้ง 8 ดวงน่าจะเกิดมาจากดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 8-10 เท่า แต่ยังไม่มากพอให้เกิดมหานวดารา หรือ “ซูเปอร์โนวา” (Supernova) ได้ โดยทั้ง 8 ดวงโคจรอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกห่างจากโลก 1-2 พันปีแสง (1 ปีแสงประมาณ 9.46 ล้านล้านกิโลเมตร)

หนึ่งในดาวฤกษ์ที่นำมาเทียบเคียงได้กับต้นกำเนิดของดาวแคระขาวกลุ่มนี้คือ ดาว “เอช 1504+65” (H 1504+65) ที่คาดว่าเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนดันมวลก๊าซที่ห่อหุ้มดาวทั้งหมดออกไป จนเหลือแต่ใจกลางของดวงดาวที่มีคาร์บอนและออกซิเจนเป็นส่วนประกอบอย่างละครึ่ง

“การค้นพบนี้น่าจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถศึกษากำเนิดดาวขนาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี และเราเชื่อว่าน่าจะมีดาวแคระขาวที่เข้าข่ายที่ว่านี้อีกสักคู่หนึ่งจากดาวแคระขาวที่มีการค้นพบแล้วราว 10,000 ดวงด้วย” ดูฟูร์ กล่าว

ขณะที่การศึกษาระยะต่อไปพวกเขาจะสำรวจดาวแคระขาวทั้ง 8 ด้วยกล้องดูดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมคือเส้นผ่านศูนย์กลาง 6.5 เมตร ณ หอดูดาวเอ็มเอ็มที (MMT Observatory) บนเมาท์ฮอปกินส์ (Mount Hopkins) รัฐแอริโซนา เพื่อระบุว่าดาวแคระขาวที่ค้นพบนี้มาจากดาวฤกษ์ที่หมดอายุขัยเพราะมวลอันจำกัดหรือเพราะซูเปอร์โนวากันแน่

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000138943

ลาดกระบังซิวแชมป์เกมพีซีหนุนเยาวชนและครอบครัวออกกำลังกาย


เกมออกกำลังกายบนเครื่องคอมพิวเตอร์ฝีมือนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) คว้ารางวัลที่หนึ่งจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (ซิป้า) เล็งเจาะกลุ่มเยาวชน 4-12 ปี และผู้ปกครองเป็นหลัก

นายสนหาญวงศ์ นักศึกษาปริญญาโทจากสาขาวิทยาการสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สจล. ร่วมกับเพื่อนพัฒนาเกมพีซีออกกำลังกายสนับสนุนให้เด็กและผู้ใหญ่เคลื่อนไหวร่างกายแทนที่นั่งจับเจ่าเล่นเกมออนไลน์อยู่กับที่

เกมออกกำลังกายที่พัฒนาขึ้นแบ่งออกเป็น4 รูปแบบ ขึ้นอยู่ว่าผู้เล่นต้องการออกกำลังกายแบบไหน การเล่นเกมดังกล่าวคอมพิวเตอร์ของผู้เล่นจำเป็นต้องติดตั้งกล้องเว็บแคมบนจอคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวท่าทางโต้ตอบกับโปรแกรมเกม

เกมแรกเป็นกีฬาต่อยมวยที่ให้ผู้เล่นออกท่าทางการชก หรือหลบหลีกคู่ต่อสู้ในคอมพิวเตอร์ ส่วนเกมที่สองเป็นเกมแข่งวิ่ง ผู้เล่นสามารถเลือกได้ 2 แบบ ได้แก่ เลือกให้กล้องจับภาพการเคลื่อนไหวในท่าวิ่งอยู่กับที่ทั้งตัว หรือให้จับภาพเฉพาะจุดบริเวณเท้าเพียงตำแหน่งเดียว เกมถัดมาเป็นเกมลุกนั่งซึ่งผู้เล่นต้องออกท่าทางในการลุกและนั่งภายในเวลาที่กำหนด

เกมสุดท้ายจะเป็นเกมโยนลูกบาสเกตบอลเข้าห่วงโดยไม่ต้องใช้ลูกบอลจริง แค่ทำท่าทางเหมือนกำลัง "ชู้ต" ลูกบาสให้ลงแป้นที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

เกมแต่ละโหมดสามารถตั้งระดับความยากง่ายได้ต่างกันโดยเวลาที่กำหนดให้เล่นแต่ละครั้งจะอยู่ระหว่าง 30 วินาที ถึง 2 นาที สามารถเล่นทีละคน คำสั่งบนหน้าจอเป็นภาษาไทยเข้าใจง่าย โปรแกรมทำงานโดยนำภาพจากกล้องเว็บแคมไปประมวลผลและแปลงออกมาเป็นคะแนนที่ผู้เล่นสามารถทำได้

"ผู้พัฒนาตั้งเป้าไว้ว่าจะเจาะกลุ่มเยาวชนตั้งแต่ 4-12 ขวบ และกลุ่มผู้ปกครองเป็นหลัก ผู้ร่วมทีมพัฒนาเกมกล่าวและว่า เกมออกกำลังกายนี้ใช้ต้นทุนเพียง 100 กว่าบาท ก็สามารถซื้อหามาเล่นที่บ้านได้กันทั้งครอบครัว ไม่เพียงได้ออกกำลังกาย แต่ยังเป็นการใช้เวลาว่างอยู่กับครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วย

เกมออกกำลังกายสามารถคว้ารางวัลที่1 หมวดหมู่บุคคลทั่วไป จากงานไทยแลนด์ แอนิเมชั่น 2007 (TAM 2007) ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าเมืองทองธานี

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Sunday, November 25, 2007

นิสิตจุฬาฯ คว้าแชมป์สร้างหุ่นยนต์กู้ภัย

ที่เอ็มซีซีมอลล์ เดอะ มอลล์ งาม วงศ์วาน เมื่อวันที่ 24 พ.ย. มีการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยชิงแชมป์ประเทศไทย หรือ Thai land Rescue Robot Championship 2007 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย และ เครือซิเมนต์ไทย (SCG) โดยในการแข่งขัน รอบสุดท้ายมี 8 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ แต่ละทีมจะส่งหุ่นยนต์ ลงสนามทีมละ 20 นาที สนามการแข่งขันจะจำลองเหตุการณ์เกิดภัยพิบัติและมีผู้ติดอยู่ในซากปรักหักพัง โดยหุ่นยนต์จะต้องลงไปหาผู้เสียชีวิตหรือรอดชีวิตจากเหตุการณ์ บรรยากาศในการแข่งขันเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากแต่ละสถาบันการศึกษาจะขนทีมกองเชียร์มาเชียร์ทีมของตนเองกันอย่างสนุกสนาน

หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันผลปรากฏว่า ทีม Plasma-RX จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติล้วนเพียงทีมเดียว เฉือนเอาชนะคู่แข่งคว้าแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยปีนี้ไปครอง พร้อมกับได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปป้องกันแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยโลกสมัยที่ 3 หรือ World Robocup Rescue ที่เมืองซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะจัดขึ้นกลางปี 2551 โดยทีม Plasma-RX ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท ส่วนรองชนะเลิศ ได้แก่ทีม CEO MISSION V จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท สำหรับรางวัล Best Technique ได้แก่ทีม Inchoation จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ รางวัล Best Creativity ได้แก่ทีม Miracle จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ได้รับเงินรางวัลทีมละ 50,000 บาท

ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทรากรณ์ นายกสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่มีผู้ประดิษฐ์หุ่นยนต์กู้ภัยแบบอัตโนมัติ คือไม่ต้องมีคนบังคับเข้าแข่งขันด้วย หากนำไปใช้จริงก็จะเกิดความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์มากขึ้น นอกจากนี้การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติยังถือว่าเข้า กฎกติกาของการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยระดับโลก ได้เป็นอย่างดี เพราะหุ่นยนต์กู้ภัยจะต้องมี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งหุ่นยนต์สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง และนับเป็นความสำเร็จของการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยในประเทศไทย

ด้าน นายอดิศักดิ์ ดวงแก้ว ตัวแทน ทีม Independent จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปราจีนบุรี แชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยโลกสองปีซ้อน กล่าวว่า ในปีนี้ทีม Independent จะไม่เข้าร่วมแข่งขันระดับโลกเพราะต้องการเปิดโอกาสให้รุ่นน้อง อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์ Independent ได้ใช้เป็นหุ่นยนต์ต้นแบบเพื่อพัฒนาไปใช้ในการทำงานกู้ภัยของกระทรวงกลาโหม โดยคาดว่าในปีหน้าหุ่นยนต์ตัวใหม่ที่กำลังพัฒนานี้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้กับประเทศได้.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/
Link : http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=147022&NewsType=1&Template=1

ชมฝนดาวตกเจมินิดส์ หอดูดาวจัดกิจกรรมรับ

หอดูดาวสิรินธรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดหลังคาโดมให้ประชาชนร่วมชมปรากฏการณ์อันสวยงามของฝนดาวตกเจมินิดส์
ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ธ.ค.นี้ เผยตกเฉลี่ย 50-80 ดวงต่อชั่วโมง มั่นใจนักดูดาวไม่ผิดหวัง

รศ.บุญรักษาสุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ฝนดาวตก "เจมินิดส์" (Geminids) ที่จะเกิดในครั้งนี้เป็นฝนดาวตกที่ดีสุดของปี และที่ผ่านมาไม่เคยทำให้นักดูดาวผิดหวัง สามารถเห็นได้ตั้งแต่วันที่ 6-18 ธันวาคม 2550 แต่ช่วงที่ตกมากสุดคือ คืนวันที่ 13 และ 14 ธันวาคม โดยมีอัตราประมาณ 50-80 ดวงต่อชั่วโมง

ฝนดาวตกเจมินิดส์ครั้งนี้ดูได้ตั้งแต่21.00 น. ซึ่งไม่ดึกมากนัก และควรจะนอนดูเพื่อมองเห็นได้ทั่วท้องฟ้า นอกจากนี้ ระหว่างรอดูฝนดาวตกเจมินิดส์ ก็สามารถดูจันทร์เสี้ยวทางทิศตะวันตก หรือดูดาวอังคารที่ขึ้นมาพร้อมกับกลุ่มดาวคนคู่ได้

ชื่อของฝนดาวตกเจมินิดส์มาจากฝนดาวตกในกลุ่มดาวเจมิไน หรือกลุ่มดาวคนคู่ ที่จะขึ้นเวลาประมาณ 21.00 น. นักดาราศาสตร์ค้นพบฝนดาวตกเจมินิดส์เมื่อปี 2526 ซึ่งเกิดจากฝุ่นของดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟทอน และถือเป็นครั้งแรกที่พบว่าดาวเคราะห์น้อยเกี่ยวข้องกับฝนดาวตก

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติจึงเชิญชวนร่วมชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ ตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. ณ หอดูดาวสิรินธร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Friday, November 16, 2007

สวิสเปิดตัว"โซลาร์อิมพัลซ์" เครื่องบินพลังแสงอาทิตย์


ต้นแบบเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ "โซลาร์อิมพัลซ์" ของสวิตเซอร์แลนด์จะทำการขึ้นบินในฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้า โดยเครื่องบิน "อัลตราไลต์" ลำนี้ได้ย่อส่วนเครื่องบินลงมา มีน้ำหนักเพียง 1.5 ตัน แต่มีความยาวปีกรวมทั้งหมด 262 ฟุต เท่ากับปีกเครื่องบินแอร์บัส A380 ส่วนข้อแตกต่างของ A380 กับ "โซลาร์อิมพัลซ์" คือ A380 บรรจุผู้โดยสารได้ 800 คน มีความเร็วสูงสุดมากกว่า 560 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ "อัลตราไลต์" มีเพียง 1 ที่นั่ง และมีความเร็วเพียง 40 ไมล์ต่อชั่วโมง

โครงการโซลาร์อิมพัลซ์ มีหัวหน้าคือ "อังเดร บอร์ชเวิร์ก" และ "เบอร์ทราน พิกคาร์ด" นักบินและนักผจญภัยชื่อดัง รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คน จาก 6 ประเทศเข้าร่วมโปรเจ็กต์ ใช้เงินทุนประมาณ 70 ล้านยูโร หรือ 3,200 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างสถิติตามอย่าง "ชาร์ลส์ ลินเบิร์ก" นักบุกเบิกด้านเครื่องบิน ที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกของโลกเมื่อ ค.ศ.1927 และชัก เยเกอร์ ผู้สร้างเครื่องบินเร็วกว่าเสียงเมื่อ ค.ศ.1947 ส่วน "โซลาร์อิมพัลซ์" จะเป็นการบินที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และคาดว่าจะทำลายสถิติในหลายด้าน เช่น แอโรไดนามิกส์ ระบบควบคุม การประหยัดพลังงาน วัสดุและโครงสร้าง รวมทั้งการแผ่แผ่นคาร์บอนให้มีความหนาไม่ถึงมิลลิเมตรตลอดความยาว 20 เมตร

นายอังเดร บอร์ชเวิร์ก ผู้บริหารโครงการกล่าวว่า เมื่อใดที่เครื่องบินสร้างเสร็จแล้วจะมีแผงโซลาร์เซลล์ติดอยู่ที่ปีกเครื่องบินรวมพื้นที่ประมาณ 250 ตารางเมตร เพื่อส่งพลังงานไปให้กับเครื่องยนต์ 4 ตัว

พิคคาร์ดมีความเห็นว่า หนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการสะสมพลังงานที่ทำให้เครื่องบินลำจิ๋วสามารถบินได้หลังพระอาทิตย์ตก เนื่องจากมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่พลังงานที่สะสมไว้อาจหมดก่อน พระอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้ระหว่างวันเครื่องบินต้องบินสูงเป็นเวลา 7-8 ชั่วโมง ในระดับที่พอเพียงที่จะเก็บพลังงานแสงอาทิตย์คือ 42,000 ฟุต เพื่อให้บินเหนือเมฆ เพราะถ้าวันใดมีเมฆมากจะเป็นอุปสรรคต่อการสะสมพลังงาน การออกบินแต่ละครั้งต้องมีนักอุตุนิยมวิทยาแนะนำ เพื่อหาเส้นทางที่มีแสงสว่างมากที่สุดและมีหลุมอากาศน้อยที่สุด

ถ้าการสร้างเครื่องบินประสบความสำเร็จลงด้วยดี ในปี 2552 จะมีการทดลองบินโดยไม่หยุดพักเป็นเวลา 36 ชั่วโมง โดยพิกคาร์ดจะเป็นผู้ขับ และปี 2554 มีแผนทำการบินรอบโลก คาดว่าใช้เวลานานประมาณ 4 อาทิตย์ ถึงบินเสร็จ 1 รอบ

รวิกานต์ แก้วประสิทธิ์

ที่มา: http://www.matichon.co.th/
Link: http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNekUyTVRFMU1BPT0=§ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd055MHhNUzB4Tmc9PQ==

Thursday, November 15, 2007

สดร.ชวนดูฝนดาวตกลีโอนิดส์ 17 พ.ย. 50


สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ หอดูดาวสิรินธร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรมร่วมชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ ในวันที่ 17 พ.ย. 2550 นี้ หลังจากที่ดาวหางเทมเปิล-ทัตเทิล (Comet Temple-Tuttle) ซึ่งเป็นดาวหางคาบสั้น ที่มีคาบวงโคจรรอบละ 33 ปี ได้ผ่านเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ. ศ. 2541 ทิ้งเศษฝุ่นและน้ำแข็งซึ่งเป็นองค์ประกอบของดาวหางเป็นจำนวนมหาศาลไว้ ตามทางโคจรที่ดางหางเคลื่อนที่ผ่าน และทุกปีในราวกลางเดือนพฤศจิกายน โลกจะโคจรตัดกับวงโคจรของดาวหางนี้ ทำให้เกิดฝนดางตกเป็นจำนวนมากทุกปี ในช่วงเวลาดังกล่าว

ในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 นี้ ปริมาณของดาวตกจะมีไม่มาก ประมาณ 10 ดวงต่อชั่วโมง ถึงแม้ว่าจำนวนจะน้อย แต่ส่วนมากจะเป็นดาวตกขนาดใหญ่และสว่าง ปีนี้ ดวงจันทร์จะตกประมาณเที่ยงคืน ทำให้ไม่มีแสงจันทร์รบกวนในการดูดาวตกครั้งนี้ แต่อาจมีเมฆปกคลุมในบางพื้นที่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ในช่วงต้นของฤดูหนาว

การดูฝนดาวตก ต้องดูในที่มืดและปลอดภัย ควรไปดูกันเป็นกลุ่ม อาจจำเป็นต้องนอนดู เพื่อที่จะได้เห็นท้องฟ้าเป็นมุมกว้าง ไม่จำเป็นต้องจ้องไปทางทิศตะวันออกที่กลุ่มดาวสิงโตกำลังขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืน ซึ่งดาวตกจะพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงและเผาไหม้ในอากาศในเราเห็นเป็นดาวตก ถ้าต้องการถ่ายภาพ ก็ต้องใช้กล้องฟิล์มหรือดิจิตัลแบบ SLR เพราะสามารถเปิดหน้ากล้องได้นาน ถ้ามีสายลั่นชัตเตอร์ด้วยก็จะทำให้เปิดหน้ากล้องได้นานเท่าที่ต้องการ แต่ต้องไม่นานจนสว่างไปทั้งภาพ อาจประมาณ 5 นาที ต่อภาพ แล้วค่อยถ่ายใหม่ อย่างไรก็ตาม ขอให้ฝนดาวตกปีนี้ทำให้คนที่ชื่นชอบความงามของดวงดาวได้ประทับใจอีกครั้งกับความสวยงามของท้องฟ้า

ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ ครั้งนี้ได้ตั้งแต่เวลา 18.00 – 24.00 น.
ณ หอดูดาวสิรินธร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่มา: www.narit.or.th
Link: http://www.narit.or.th/src/newsdetail_nari_inc.php?id=20070041

“แมวกับหมาใครฉลาดกว่ากัน” ชวนหนูๆ ไปพิสูจน์ดูในเทศกาลหนังวิทย์


แมวเหมียวและเจ้าตูบ 2 สัตว์เลี้ยงยอดฮิตที่ประชันความน่ารักและความฉลาดกันมาตลอดกาล ขนาดฮอลลีวูดยังจับประชันบทบาทกันใน “แคท แอนด์ ด็อก” ภาพยนต์การชิงไหวชิงพริบระหว่างหมาและแมวที่ไม่ลงรอยกันได้อย่างสนุกสนาน แล้วเจ้าสี่ขาชนิดไหนกันแน่ ที่ฉลาดกว่ากัน ร่วมค้นหาคำตอบกันได้แล้ววันนี้ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์

“ผจญภัยในโลก ตอน แมวกับสุนัข ใครฉลาดกว่ากัน?” (Abenteuer Erde: Hund oder Kats, er ist kluger?)ภาพยนตร์สาระบันเทิงจากเยอรมนี ที่น่าดูอีกหนึ่งเรื่องในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ครั้งที่ 3 ให้ทั้งความสนุกสนาน ตื่นเต้น และร่วมลุ้นไปกับเพื่อนสี่ขาที่ต้องเจอบททดสอบต่างๆ นานา เพื่อแข่งขันกันว่า แท้ที่จริงแล้ว “แมวกับสุนัข ใครฉลาดกว่ากัน” กันแน่

เพื่อนบ้านที่เลี้ยงสุนัขและหมาต่างถกเถียงกันเป็นประจำว่า “สัตว์เลี้ยงสุดเลิฟของใครฉลาดกว่ากัน” คนที่เลี้ยงแมวก็ต้องบอกว่าเจ้าเหมียวฉลาดกว่า เพราะจับหนูมาให้ทุกวันบ้างล่ะ ปลดทุกข์ในที่ที่จัดไว้ให้บ้างล่ะ

ส่วนคนที่เลี้ยงหมาก็ต้องบอกว่า เจ้าตูบของเขาฉลาดกว่า และยังฉลาดสุดสุดด้วย

นักวิทยาศาสตร์และนักเรียนช่างสงสัยก็เลยคิดหาวิธีทดสอบสติปัญญาของเพื่อนต่างสายพันธุ์เหล่านี้ เพื่อหาข้อสรุปว่า ใครฉลาดกว่ากัน

บททดสอบแรกเริ่มด้วยการจัดฉากกั้นแมวและสุนัขเอาไว้เป็นรูปหลังคา ที่เผยเป็นช่องว่างเพียงเล็กน้อย แล้วนำอาหารผูกติดกับเชือก ล่อน้องเหมียวและน้องหมาผ่านช่องแคบๆ แล้วดูซิว่าน้องเหมียวกับน้องหมาจะหาวิธีข้ามสิ่งกีดขวางนั้นได้อย่างไร

ถัดมาเป็นการทดสอบการนับเลขโดยให้แมวและสุนัขฟังเสียงเคาะระฆัง แล้วเลือกถ้วยอาหารที่ปิดฝาและมีจำนวนเลขอยู่บนนั้น ใครจะเลือกถูกกันบ้างนะ

นอกจากนี้ ยังทดสอบการฟังคำสั่งต่างๆ จากครูฝึกหรือผู้เลี้ยง ทดสอบหยิบของตามที่เจ้านายสั่ง ฝึกการทรงตัว การแสดง และการดมกลิ่นเพื่อจับโจรผู้ร้าย เป็นต้น

เหล่านี้เป็นบททดสอบเพื่อค้นหาคำตอบว่า ใครจะฉลาดหรือมีความสามารถมากกว่ากัน หรือใครมีไหวพริบที่จะทำให้เจ้านายหันมาเอาใจได้มากกว่ากัน

พร้อมทั้งร่วมย้อนอดีต ไขปริศนาที่มาของสุนัขและแมวว่า กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่คุ้นเคย และเพื่อนรู้ใจของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วได้อย่างไร

น้องๆ อนุบาล 3 จากโรงเรียนอนุบาลสารินย่านถนนสามเสนกว่า 30 คน ที่มาร่วมหาคำตอบความฉลาดของแมวและหมาผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะที่พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร สวนจตุจักร ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า หนังสนุก แมวกับสุนัขก็น่ารักมากๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเป็ปซี แฮร์รี หรือโรบี และเพื่อนสี่ขาตัวอื่นๆ ที่เข้าร่วมทดสอบความสามารถต่างๆ และแทบทุกครั้งที่เจ้าตัวไหนสอบผ่าน เด็กๆ ก็ปรบมือชมเชยเสียงดังลั่น

ไม่ว่าในภาพยนตร์จะสรุปว่าอย่างไร แต่น้องคิว หรือ ด.ช.คิวทาโร กิ่งพะโยม บอกว่า แมวฉลาดกว่า เพราะที่บ้านน้องคิวเลี้ยงทั้งแมวและหมา แต่แมวเชื่อฟังน้องคิวมากกว่า เวลาที่เขาไม่สบายเขาก็รู้ว่าต้องไปหาหมอและต้องกินยา เวลาสกปรกก็ให้อาบน้ำให้แต่โดยดี

ด้านน้องต้น ด.ช.นิติรัฐ สิทธิเทศานนท์ ก็บอกว่าแมวฉลาดกว่า เพราะเขารักความสะอาดมากกว่าหมา แต่ถ้าจะให้เลี้ยงแมว น้องต้นก็ไม่เลี้ยง เพราะตอนนี้เลี้ยงหนูแฮมเตอร์อยู่

ส่วนน้องออสซี ด.ช.อนิก รมยานนท์ และน้องเนิร์ธ ด.ญ.บุญยาพร ดำรงธรรมวุฒิ บอกว่าหมาฉลาดกว่า เพราะว่าเชื่อฟังคำสั่งมากกว่าแมว และฝึกได้ง่ายกว่า ซึ่งทั้ง 2 คน ชอบตอนที่ให้สุนัขดมกลิ่นอาวุธที่คนร้ายทิ้งๆ ไว้และดมกลิ่นสิ่งของที่ตำรวจให้ผู้ต้องสงสัย 5 คน สัมผัสมากก่อน ซึ่งสุนัขทุกตัวเลือกถูกหมดเลย

ด้านคุณครูพัชรีพงษ์ ศรีจันทร์ กล่าวว่า เพิ่งทราบปีนี้เป็นปีแรกว่ามีเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ด้วย จึงสนใจและพาเด็กๆ มาชม โดยให้เด็กๆ เป็นคนเลือกกันเองว่าอยากจะชมเรื่องอะไร

“การมาชมภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ทำให้เด็กๆ ได้ความรู้มากขึ้นจากในห้องเรียน ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าความรู้จะมีอยู่แต่ในห้องเรียนหรือในโรงเรียนเท่านั้น ข้างนอกห้องเรียนหรือสื่อต่างๆ ก็เป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้เหมือนกัน และเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่เด็กๆ จะให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ” ครูพัชรีพงษ์ กล่าว

ส่วนคนที่ยังไม่หายสงสัยว่าแมวและสุนัขนั้นใครฉลาดกว่ากันแน่ ร่วมค้นหาคำตอบได้ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 3 ได้ โดยจะฉายอีกครั้งที่พิพิธภัณฑ์เด็กฯ วันที่ 17 พ.ย. เวลา 13.00 น. และวันที่ 23 พ.ย. เวลา 13.00 น.

ส่วนที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ) เอกมัย, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และอุทยานการเรียนรู้ ทีเคพาร์ก เซ็นทรัลเวิร์ลด ก็จัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ เช่นเดียวกัน และสามารถตรวจสอบตารางฉายภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ได้ที่http://www.goethe.de/ins/th/prj/wif/prg/thindex.htm

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000135203

Wednesday, November 14, 2007

นักวิทย์มะกันชี้จักรวาลผอมลงรอ'นาซา'ส่งยานสำรวจพิสูจน์

หลังจากคำนวณกันรอบใหม่นักวิทยาศาสตร์อเมริกันจึงรู้ว่า จักรวาลมีสสารปกติและสสารมืด "น้อยกว่า" ที่เคยคิดกัน เท่ากับว่าจักรวาลมีน้ำหนักลดลง 10-20%

แต่การยืนยันข้อสรุปนี้จำเป็นต้องพึ่งพานาซาในการส่งยานอวกาศไปสำรวจท้องฟ้าเพื่อหาแนวเส้นรังสีเอ็กซ์ของสสารปกติ

บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า"สสารมืด" มาบ้างแล้วแต่ยังงงอยู่ว่าคืออะไรกันแน่ สสารมืดเป็นสสารลึกลับที่มองไม่เห็น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันมีจำนวนมากกว่า "สสารปกติ" ในสัดส่วน 5 ต่อ 1 ทั้งนี้ สสารปกติได้แก่ ฝุ่นอวกาศ ก๊าซ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ อุกกาบาต น้ำแข็งและอื่นๆ ในจักรวาลที่มองเห็นเป็นตัวตน

การประเมินครั้งล่าสุดมาจากการเฝ้าสังเกตกระจุกกาแล็กซีอะเบล 3112 เมื่อปี 2545 นักดาราศาสตร์ประกาศว่า พวกเขาติดตามร่องรอยของรังสีเอ็กซ์ในกระจุกกาแล็กซี รวมถึงฝุ่นเมฆและก๊าซที่อยู่ระหว่างกาแล็กซี ขณะที่การสังเกตการณ์ด้วยกล้องโทรทรรศน์จันทราของนาซา กลับไม่พบสัญญาณของแสง หรือที่เรียกว่า แนวเส้นการกระจายสเปกตรัม ที่ควรเปล่งออกมาจากอะตอมในกลุ่มเมฆ
ถึงตอนนี้ทีมงานคิดว่ารังสีเอ็กซเรย์ที่พบครั้งนั้น เป็นผลมาจากการปะทะกันระหว่างอิเล็กตรอนและโปรตอนในอวกาศ เมื่อเป็นเช่นนี้นักดาราศาสตร์จึงประเมินน้ำหนักกระจุกกาแล็กซีใหม่

สิ่งที่เกิดขึ้นหมายความว่าเมฆที่เปล่งรังสีเอ็กซ์มีมวลน้อยกว่าที่เราคาดไว้ แม็กซ์โบนาเมนเต นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอลาบามา สหรัฐ กล่าว

ทฤษฎีสสารมืดได้รับการนำเสนอเพื่ออธิบายว่าทำไมกาแล็กซีถึงเกาะกลุ่มกันโดยไม่หนีแยกจากกัน ทั้งที่หมุนด้วยความเร็วจี๋ ดังนั้น เมื่อกาแล็กซีอะเบลมีสสารปกติน้อยลง สสารมืดจึงมีปริมาณน้อยลงเพื่อดึงกาแล็กซีให้เกาะกลุ่มกัน

นักดาราศาสตร์กล่าวว่าถ้านำหลักดังกล่าวมาอธิบายกระจุกกาแล็กซีอื่น เท่ากับว่าจักรวาลทั้งหมดมีน้ำหนักเบาลง อย่างไรก็ตาม การค้นพบล่าสุดของทีมนี้ จำเป็นต้องส่งยานอวกาศไปส่องท้องฟ้า เพื่อหาแนวเส้นการกระจายรังสีเอ็กซ์ของสสารปกติเพื่อยืนยัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มจธ.พบเทคนิคประหยัดก๊าซ ส่งต่อความรู้ช่วยผู้ผลิตกุนเชียงลดต้นทุน 60%

มจธ.รับมอบจากกระทรวงพลังงานศึกษาหาวิธีช่วยโรงงานกุนเชียงประหยัดค่าก๊าซหุงต้ม เผยผลทดสอบใน 4 โรงงานนำร่องลดต้นทุนก๊าซได้ 60%

เตรียมติดตั้งระบบเพิ่มในอีก4 โรงงานให้เป็นตัวอย่าง ก่อนขยายทั่วประเทศ

นายวีระพลจิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มอบทุนวิจัยให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ศึกษาหาวิธีช่วยให้โรงงานผลิตกุนเชียงประหยัดต้นทุนค่าก๊าซหุงต้ม

จากการสำรวจโรงงานผลิตกุนเชียงประมาณ107 แห่ง พบส่วนใหญ่ใช้ตู้อบแห้งกุนเชียงประสิทธิภาพต่ำ ทำให้สิ้นเปลืองก๊าซหุงต้ม ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการอบแห้ง ขณะที่ผลผลิตกุนเชียงมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ เช่น สี และความชื้น ทำให้ขายได้ในราคาค่อนข้างต่ำ
รศ.ดร.สุวิทย์เตีย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (สรบ.) มจธ. กล่าวว่า เตาอบแห้งกุนเชียงจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง 3 ด้านหลัก คือ ใส่ฉนวนเพื่อลดความร้อนที่สูญเสียผ่านทางผนัง, เพิ่มระบบควบคุมอุณหภูมิภายในตู้อบให้สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ และทำช่องระบายอากาศของตู้ ที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับปริมาณในการอบแห้ง เพื่อลดความร้อนที่สูญเสียไปกับการระบายมากเกินจำเป็น

ทั้งนี้จากการทดลองปรับปรุงเตาอบแห้งของ 4 โรงงานนำร่อง ได้แก่ โรงงานกุนเชียงนวลจันทร์ จ.สกลนคร หจก.เจ.เอช. เอกคลูซีฟ (กุนเชียงเจ๊ฮวง) จ.นครราชสีมา โรงงานกุนเชียงคุณสุ จ.นครราชสีมา และโรงงานกุนเชียงลิ้มไท้เชียง จ.นครราชสีมา พร้อมทั้งทดลองใช้งานไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ และช่วยลดการใช้พลังงานได้จริง

ก่อนหน้าการปรับปรุงเตาอบแห้งกุนเชียงโรงงานแต่ละแห่งมีอัตราการใช้ก๊าซหุงต้มต่อน้ำหนักผลิตภัณฑ์กุนเชียง 0.11-0.13 กิโลกรัมแอลพีจีต่อกิโลกรัมกุนเชียง และภายหลังการปรับปรุงอัตราการใช้ก๊าซหุงต้มเหลือเพียง 0.04-0.07 กิโลกรัมแอลพีจีต่อกิโลกรัมกุนเชียง คิดเป็น 60% หรือประหยัดค่าก๊าซได้ 1.0-1.46 บาทต่อกิโลกรัมกุนเชียง" รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว

มจธ.เตรียมที่จะปรับปรุงเตาอบแห้งกุนเชียงเพิ่มอีกใน4 โรงงาน ได้แก่ โรงงานอาหารดีมีคุณ จ. ฉะเชิงเทรา กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรวิหารขาวสามัคคี จ.สิงห์บุรี โรงงานสมพรเฟรชพอร์ค และโรงงานคุณทัศนะ จ.นครปฐม พร้อมทั้งจะเร่งเผยแพร่ข้อมูลให้แก่รายอื่นที่สนใจจะลดการใช้พลังงานต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Thursday, November 8, 2007

ไทยจัดแข่งโอลิมปิกดาราศาสตร์

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์ร่วมกับ ม.เชียงใหม่ ส่งเทียบเชิญนักเรียนชั้นมัธยมปลาย 22 ประเทศ ประชันความสามารถบนเวทีโอลิมปิกด้านดาราศาสตร์ครั้งที่ 1

รศ.บุญรักษาสุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เตรียมจัดแข่งขันดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน-9 ธันวาคมนี้ ที่สถานบริการวิชาการ มช. และศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

การแข่งขันดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มคาดว่าจะมีผู้เข้าแข่งขันครั้งนี้กว่า 200 คน จาก 22 ประเทศทั่วโลก โดยจำกัดเฉพาะนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย ส่วนรูปแบบการแข่งขันจะมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนสังเกตการณ์และส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล

"การแข่งขันดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศในครั้งนี้ จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความสามารถด้านดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์สู่ระดับสากลของเยาวชนไทยพร้อมทั้งมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ด้านดาราศาสตร์ ตลอดจนวัฒนธรรมกับประเทศต่างๆ ที่ร่วมการแข่งขัน

ทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญที่นานาประเทศจะทราบถึงการพัฒนาบุคลากรและวิชาการด้านดาราศาสตร์ของไทยที่กำลังจะก้าวสู่ความเป็นมาตรฐานสากลในเวทีโลก" รศ.บุญรักษา กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เทคโนประดิษฐ์-สจล.คิดระบบเตือนภัยครอบคลุมทั้งสึนามิ-แผ่นดินไหว

ระบบเตือนภัยคลื่นยักษ์จากการออกแบบของทีมนักศึกษา สจล.รับชนะเลิศจากสมาคมสมองกลฝังตัวไทย ระบุใช้งานง่ายเตือนได้ทั้งสึนามิและแผ่นดินไหว

ธรรมนูญกวินเฟื่องฟูกุล นักศึกษาปี4 ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ผลงานระบบเฝ้าระวังภัยสึนามิของทีมงาน ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันการพัฒนาระบบเฝ้าระวัง และช่วยตัดสินใจในการแจ้งเตือนภัยสึนามิจากชายฝั่งทะเล โดย สมาคมสมองกลฝังตัวไทย

โจทย์กำหนดให้ระบบดังกล่าวต้องมีประสิทธิภาพในการรับข้อมูลจากอุปกรณ์เครือข่ายได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนพร้อมทั้งสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุปกรณ์และประชาชนได้ทันที

ระบบที่ทีมงานพัฒนาขึ้นและส่งประกวดมีความโดดเด่นที่ใช้งานง่าย และมีศักยภาพที่จะนำไปต่อยอดโดยภาคเอกชน นอกจากจะเตือนภัยสึนามิเป็นภัยพิบัติทางน้ำได้แล้ว ยังสามารถวัดแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้อีกด้วย ทำให้ผลงานได้รับคะแนนสูงสุด" ธรรมนูญกล่าว

ปวงชัยสัตยภิวัฒน์ เพื่อนร่วมทีมกล่าวว่า ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยสึนามิที่ออกแบบนี้ หัวใจของระบบอยู่ที่ตัวเซ็นเซอร์ ซึ่งจะตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนในทุกจุดที่ติดตั้ง จากนั้นจะส่งข้อมูลให้สมองกล ที่ทำหน้าที่ประมวลผลว่าแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวเกิดจากอะไร เช่น รถวิ่งผ่านหรือแผ่นดินไหว แล้วจึงส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อวิเคราะห์ระดับความแรง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์กลางทราบว่า ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร

ระบบเตือนภัยที่ชนะเลิศนี้แบ่งระดับการเตือนเป็น 5 ระดับตามแรงสั่นสะเทือนที่ตรวจวัดได้ โดยระดับแรกจะไม่มีอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย ระดับความรุนแรงถัดมา จะเตือนให้เจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อม และหากเกิดความรุนแรงระดับ 3 ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งให้เจ้าหน้าทราบ เพื่อเตือนประชาชนบริเวณนั้นทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหว หรือคลื่นสึนามิ

ส่วนระดับ4 เจ้าหน้าที่จะต้องส่งสัญญาณให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นอพยพด่วนเพื่อความปลอดภัย และระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสุดท้าย เจ้าหน้าที่จะต้องส่งสัญญาณแจ้งอพยพทันที โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน 1-3 เพราะจะไม่ทันการณ์

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ดาวเคราะห์ใหม่ที่กลุ่มดาวปู เพิ่มขนาดให้อีกระบบสุริยะมีบริวาร 5 ดวง


เอเยนซี/เอพี/บีบีซีนิวส์ – เราอาจไม่ได้อยู่เดียวดายในจักรวาล? ความคิดนี้กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ ทั่วโลก หลังนักดาราศาสตร์เริ่มค้นพบ "ระบบสุริยะ" อื่นๆ แต่ล่าสุด "ระบบสุริยะ" ที่มีความใกล้เคียงกับที่โลกของเราสถิตย์อยู่ ก็ได้เผยโฉมขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่า "ระบบสุริยะ" ที่มีดาวเคราห์ทั้ง 8 นี้หาใช้ระบบหนึ่งเดียวแห่งเอกภาพ และอาจจะไม่ได้มีเพียง "เรา" หนึ่งเดียวในจักรวาลอีกต่อไป

ทีมนักดาราศาสตร์สหรัฐฯ เผยว่า พวกเขาได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ ในกลุ่มดาวปู (Cancer) ที่โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ “55 ปู” (55 Cancri) ที่ห่างจากโลกออกไป 41 ปีแสง อบอุ่นกว่าโลกและมีมวลมากกว่า 45 เท่า ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าคล้ายกับ "ดาวเสาร์" ของเรา

การค้นพบดังกล่าวนำไปสู่ นับเป็นการค้นพบ "ดาวเคราะห์ดวงที่ 5" ของอีก "ระบบสุริยะ" ซึ่งมีดาว 55 ปูเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์

ดาวเคราะห์ใหม่ที่ค้นพบนี้ มีขนาดใหญ่กว่าโลกของเราเพียงเล็กน้อย แต่มีระยะห่างกับดวงอาทิตย์ของมันพอๆ กับระยะห่างของโลกเรากับดวงอาทิตย์ ขณะที่ดาวเคราะห์อีก 4 ดวงที่เหลือนั้นมีการค้นพบไปก่อนหน้าแล้ว

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแล้วมากกว่า 250 ดวง และรวมถึงระบบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ด้วย

ทว่า เดบรา ฟิชเชอร์ (Debra Fischer) นักดาราศาสตร์จากซานฟรานซิสโก สเตท ยูนิเวอร์ซิตี (San Francisco State University) เผยว่า นับเป็นครั้งแรกทีเดียว ที่มีการค้นพบระบบสุริยะที่มีดาวเคราะห์มากที่สุดถึง 5 ดวง (หากไม่นับระบบสุริยะของเราที่มีดาวบริวาร 8 ดวงแล้ว)

"ทำให้คิดไปได้ว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิต และอาศัยอยู่บนจันทร์บริวารสักดวงของดาวเคราะห์แห่งนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่เครื่องไม้เครื่องมือสำรวจในปัจจุบันยังไม่ทันสมัยพอที่จะนำไปใช้สำรวจวัตถุขนาดเล็กและไกลโพ้น อย่างจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงนั้นได้" ฟิชเชอร์เผย

“ดาวฤกษ์ของดาวเคราะห์นี้ คล้ายกับดวงอาทิตย์ของเรามาก อีกทั้งน่าจะมีมวลและอายุใกล้เคียงกัน เป็นระบบสุริยะที่ประกอบไปด้วยดาวเคราะห์มากมาย” ฟิชเชอร์กล่าว

งานศึกษาชิ้นนี้ใช้เวลาถึง 18 ปี ซึ่งผ่านพ้นไปด้วยความระมัดระวังและความพากเพียรอุตสาหะจนกว่าจะค้นพบดาวเคราะห์ทั้ง 5 โดยการสังเกตปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ (doppler effect) ซึ่งวัดค่าการส่ายเพียงเล็กน้อยของดาวฤกษ์ โดยดูความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และกว่าจะพบดาวเคราะห์ดวงแรกของระบบดังกล่าว ก็ใช้เวลาไปถึง 14 ปีแล้ว

อย่างไรก็ดี ดาวเคราะห์ในระบบอีก 4 ดวงค้นพบระหว่างปี 2539-2547 โดยทั้งหมดอยู่ห่างจากดาว 55 ปูน้อยกว่าระยะทางที่โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ดาวดวงที่อยู่ใกล้ที่สุดมีมวลเท่าดาวยูเรนัส โคจรรอบดาวฤกษ์ในเวลาน้อยกว่า 3 วันด้วยระยะห่าง 3.5 ล้านไมล์

ส่วน ดาวเคราะห์ที่เพิ่งพบนี้ อยู่ห่างจากดาวฤกษ์ในระบบเป็นอันดับ 4 หรือประมาณ 72 ล้านไมล์ ซึ่งใกล้กว่าโลกกับดวงอาทิตย์ที่ห่างประมาณ 93 ล้านไมล์ แต่ดาวฤกษ์ดังกล่าวเย็นกว่าดวงอาทิตย์ของเราเพียงเล็กน้อย

ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ของตัวเองคาบละ 260 วันด้วยวงโคจรคล้ายๆ ดาวศุกร์

“ถ้ามีจันทร์บริวารโคจรรอบดาวดวงนี้ น่าจะมีลักษณะพื้นผิวที่เป็นหิน แหล่งน้ำหลักๆ ก็น่าจะอยู่ในรูปของทะเลสาบหรือมหาสมุทร ซึ่งน้ำจะทำให้ดวงจันทร์มีมวลมากตามไปด้วย ทว่านั่นคือกุญแจสำคัญไปสู่ชีวิต” คำอธิบายของเจฟฟ์ มาร์ซีย์ (Geoff Marcy) นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley)

ทั้งนี้ มาร์ซีย์ซึ่งร่วมทีมค้นพบ ต้องประหลาดใจอย่างยิ่งและเปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อมีอีกระบบสุริยะที่มีดาวเคราะห์ถึง 5 ดวง เพราะขณะนี้พวกเราเชื่อกันว่า ดวงอาทิตย์และหมู่ดาวเคราะห์ที่เราสถิตย์อยู่นั้น เป็นระบบที่ไม่ปกติ แต่การค้นพบดังกล่าวทำให้เห็นว่า "ระบบสุริยะ" ที่โอบล้อมเราอยู่นี้ ไม่ใช่ระบบหนึ่งเดียวในจักรวาล

อย่างไรก็ดี มาร์ซีย์พร้อมด้วยเพื่อนนักดาราศาสตร์อีกจำนวนมากยังเชื่อด้วยว่า น่าจะมีดาวฤกษ์อีกจำนวนมาก ที่เป็นเสมือน "ดวงอาทิตย์" ให้แก่ระบบสุริยะอื่นๆ ในลักษณะนี้ แต่ดาวเคราะห์บริวารที่มีขนาดเล็กทำให้ยากที่จะตรวจพบระบบอื่นๆ เพิ่มเติมได้ ซึ่งเทคโนโลยีที่จะตวรจพบนั้น ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกหลายทศวรรษทีเดียว

ขณะเดียวกัน นักดาราศาสตร์ยังค้นหาดาวเคราะห์ที่โคจรรอบๆ ดาวฤกษ์อีก 2,000 ดวง เพื่อให้พบระบบสุริยะอื่นๆ อีก ผ่านหอดูดาวลิค (Lick Observatory) ในซานโฮเซ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงหอดูดาวดับเบิลยู เอ็ม เคกค์ (W.M.Keck Observatory) ในมัวนาเคีย (Mauna Kea) มลรัฐฮาวายด้วย

ทั้งนี้ ดาว 55 ปู หรือ 55 Cancri อันเป็นดวงอาทิตย์ของดาวเคราะห์ดวงที่ 5 ในอีกระบบสุริยะนี้ เราสามารถสังเกตได้จากพื้นโลกด้วยกล้องสองตา ยามที่ท้องฟ้าแจ่มใส ในช่วงเวลาปลายปี เช่นนี้

การวิจัยและค้นหาดวงดาวครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา), มูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โดยจะตีพิมพ์ผลการค้นพบลงในวารสารแอสโตรฟิสิกส์ฉบับต่อไป

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000132328