Wednesday, November 14, 2007

มจธ.พบเทคนิคประหยัดก๊าซ ส่งต่อความรู้ช่วยผู้ผลิตกุนเชียงลดต้นทุน 60%

มจธ.รับมอบจากกระทรวงพลังงานศึกษาหาวิธีช่วยโรงงานกุนเชียงประหยัดค่าก๊าซหุงต้ม เผยผลทดสอบใน 4 โรงงานนำร่องลดต้นทุนก๊าซได้ 60%

เตรียมติดตั้งระบบเพิ่มในอีก4 โรงงานให้เป็นตัวอย่าง ก่อนขยายทั่วประเทศ

นายวีระพลจิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มอบทุนวิจัยให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ศึกษาหาวิธีช่วยให้โรงงานผลิตกุนเชียงประหยัดต้นทุนค่าก๊าซหุงต้ม

จากการสำรวจโรงงานผลิตกุนเชียงประมาณ107 แห่ง พบส่วนใหญ่ใช้ตู้อบแห้งกุนเชียงประสิทธิภาพต่ำ ทำให้สิ้นเปลืองก๊าซหุงต้ม ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการอบแห้ง ขณะที่ผลผลิตกุนเชียงมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ เช่น สี และความชื้น ทำให้ขายได้ในราคาค่อนข้างต่ำ
รศ.ดร.สุวิทย์เตีย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (สรบ.) มจธ. กล่าวว่า เตาอบแห้งกุนเชียงจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง 3 ด้านหลัก คือ ใส่ฉนวนเพื่อลดความร้อนที่สูญเสียผ่านทางผนัง, เพิ่มระบบควบคุมอุณหภูมิภายในตู้อบให้สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ และทำช่องระบายอากาศของตู้ ที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับปริมาณในการอบแห้ง เพื่อลดความร้อนที่สูญเสียไปกับการระบายมากเกินจำเป็น

ทั้งนี้จากการทดลองปรับปรุงเตาอบแห้งของ 4 โรงงานนำร่อง ได้แก่ โรงงานกุนเชียงนวลจันทร์ จ.สกลนคร หจก.เจ.เอช. เอกคลูซีฟ (กุนเชียงเจ๊ฮวง) จ.นครราชสีมา โรงงานกุนเชียงคุณสุ จ.นครราชสีมา และโรงงานกุนเชียงลิ้มไท้เชียง จ.นครราชสีมา พร้อมทั้งทดลองใช้งานไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ และช่วยลดการใช้พลังงานได้จริง

ก่อนหน้าการปรับปรุงเตาอบแห้งกุนเชียงโรงงานแต่ละแห่งมีอัตราการใช้ก๊าซหุงต้มต่อน้ำหนักผลิตภัณฑ์กุนเชียง 0.11-0.13 กิโลกรัมแอลพีจีต่อกิโลกรัมกุนเชียง และภายหลังการปรับปรุงอัตราการใช้ก๊าซหุงต้มเหลือเพียง 0.04-0.07 กิโลกรัมแอลพีจีต่อกิโลกรัมกุนเชียง คิดเป็น 60% หรือประหยัดค่าก๊าซได้ 1.0-1.46 บาทต่อกิโลกรัมกุนเชียง" รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว

มจธ.เตรียมที่จะปรับปรุงเตาอบแห้งกุนเชียงเพิ่มอีกใน4 โรงงาน ได้แก่ โรงงานอาหารดีมีคุณ จ. ฉะเชิงเทรา กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรวิหารขาวสามัคคี จ.สิงห์บุรี โรงงานสมพรเฟรชพอร์ค และโรงงานคุณทัศนะ จ.นครปฐม พร้อมทั้งจะเร่งเผยแพร่ข้อมูลให้แก่รายอื่นที่สนใจจะลดการใช้พลังงานต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

No comments: