Thursday, November 1, 2007

"เขาใหญ่" ส่อวิกฤติรับผลภาวะโลกร้อน


นักวิจัยไบโอเทคเผย เขาใหญ่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนแล้ว หลังพบต้นกล้าเงาะป่าขยับตัวไปยังพื้นที่ที่สูงขึ้น -ไกลจากต้นแม่ แม้จะมีชะนีมือขาวช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไปทั่วทั้งแปลงวิจัยแล้วก็ตาม

น.ส.อนุตรา ณ ถลาง นักวิจัยห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ได้พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจบางประการ หลังจากติดตามสังเกตพฤติกรรมการออกหากินของชะนีมือขาวกลุ่มหนึ่ง ณ แปลงวิจัยขนาด 67.5 ไร่ ของมอสิงโต อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

นักวิจัยพบว่า “เงาะป่า” พืชอาหารชนิดหนึ่งของชะนีมือขาว ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพืชที่ชอบอากาศหนาวเย็น และไม่ชอบสัมผัสแสงแดดโดยตรงมากนัก กลับมีการกระจายตัวเปลี่ยนไป คือขยับไปสู่พื้นที่ที่สูงขึ้นจากตำแหน่งของต้นแม่

แม้ว่าบริเวณแปลงวิจัยจะมีชะนีมือขาว ช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไปยังที่ต่างๆ ทั่วทั้งแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ คาดการณ์เบื้องต้นได้ว่าอาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นก็เป็นได้

“เพราะตามหลักแล้ว ยิ่งพื้นที่สูงขึ้น อุณหภูมิก็ยิ่งลดลง และอากาศจะเย็นขึ้น ซึ่งธรรมชาติของเงาะป่าจะชอบพื้นที่ที่มีอากาศเย็นมากกว่า และไม่มีพื้นที่รับแสงอาทิตย์มากๆ จึงเลี่ยงมาที่ชั้นความสูงที่สูงขึ้น แต่สาเหตุเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาต่อ” นักวิจัยไบโอเทคอธิบาย

อย่างไรก็ดี น.ส.อนุตรา เผยว่า งานวิจัยดังกล่าวยังคงต้องติดตามข้อมูลต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป ซึ่งอาจนานถึง 10 ปี เพื่อศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพืชและสัตว์อื่นๆ ในระบบนิเวศดังกล่าวด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างรอบด้านและแม่นยำ อาทิ การศึกษาต่อเนื่องจากการค้นพบว่าต้นกล้าของต้นสีเสียดเทศในแปลงวิจัยมีเพียง 7 ต้นเท่านั้นจากต้นแม่นับสิบต้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการหมดไปจากพื้นที่ได้

ทั้งนี้ น.ส.อนุตรา ได้เปิดเผยผการศึกษาชิ้นนี้ระหว่างการประชุมประจำปีครั้งที่ 11 ของโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (บีอาร์ที) ณ จ.อุดรธานี เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา และเธอเป็นนักวิจัยที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ปีล่าสุด (The 2007 UNESCO MAB Young Scientist’s Award) จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จากโครงงานวิจัยที่กำลังศึกษานี้ด้วย

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000128654

No comments: