Wednesday, January 31, 2007

ปิดฉากพืชสวนโลก

ปิดฉาก “มหกรรมพืชสวนโลก” ยอดคนเข้าชมกว่า 3 ล้านคน

วันสุดท้ายของงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 2549 ยังคงมีผู้คนเข้าชมงานเป็นจำนวนมาก โดยช่วงค่ำจะมีพิธีปิดอย่างเป็นทางการบริเวณ หอคำหลวง ซึ่งสรุปตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานตลอดระยะเวลา 3 เดือนสูงกว่า 3 ล้าน 7 แสน คน และได้มีการประกาศผลการประกวดสวนนานาชาติขึ้นในวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับผลการประกวดสวนนานาชาติที่จัดขึ้นภายในงานที่ผ่านมา สวนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทสวนนอกอาคารที่มีพื้นที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป เป็นของประเทศญี่ปุ่นที่นำการจำลองภูเขาฟูจิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นมาจัดแสดง ถือเป็นการนำความคิดสร้างสรรค์และความอดทนมาใช้ในการจัดสวน ส่วนการจัดสวนหิน ต้นไม้ หรือแม้แต่การสร้างรั้วที่ทำจากวัสดุธรรมชาติล้วนแต่เป็นการนำเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นทั้งสิ้น และที่สำคัญมีการดูแลรักษาสวนให้มีความสวยงามตลอดการจัดงานจนได้รับความสนใจจากประชาชนกันอย่างเป็นอย่างมาก ส่วนรางวัลที่2 คือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้นำดอกทิวลิปและกังหันลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาจัดแสดง และลำดับที่ 3 เป็นของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของ
สถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง

ผลการประกาศผลประเภทสวนนอกอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่า 1,000 ตารางเมตร รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 เป็นของสวนประเทศแอฟริกาใต้ที่นำเสนอสวนสไตล์โมเดลผสมผสานวิถีชีวิตดั้งเดิม ลำดับที่ 2 คือ สวนของประเทศเบลเยียมที่มีการนำศิลปะร่วมสมัยจำลองเป็นรูปเปลือกหอยทำจากดอกสัปปะรดซึ่งเป็นดอกไม้ประจำถิ่นของเบลเยียม ลำดับที่ 3 เป็นของประเทศภูฏาน ซึ่งได้นำสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวภูฏานที่เรียบง่ายและเกี่ยวข้องกับธรรมชาติตามหลักปรัชญาแห่งพระพุทธศาสนา

สำหรับผลการประกาศผลรางวัลการจัดสวนประเภทสวนในอาคาร รางวัลชนะเลิศยังคงเป็นของประเทศญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะนำดอกซากุระมาจัดแสดง ยังนำขนบธรรมเนียม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นมาจัดแสดงอีกด้วย สวนลำดับที่ 2 เป็นของประเทศบรูไน และสวนลำดับที่ 3 เป็นของประเทศไนจีเรีย

ภายหลังจากพิธีปิดงานมหกรรมพืชสวนโลกแล้ว ภายในระยะเวลา 2 เดือน เพื่อปิดปรับปรุงพื้นที่ให้คงใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ทางการเกษตร สถานที่ท่องเที่ยว และศูนย์จัดการแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ที่สำคัญคือ ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นสวนไว้และนำศิลปะทางล้านนาเข้าไปเพิ่มเติม ส่วนทางด้านการบริหารงาน จะเป็นการบริหารงานในรูปของมูลนิธิร่วมกับคณะกรรมการบริหารการจัดการ โดยนำเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องขององค์กรท้องถิ่นเข้ามาร่วมดำเนินงาน

ที่มา: Axis Graphic Limited

ท้องฟ้าจำลองรังสิต

ท้องฟ้าจำลองรังสิตเปิดให้ดูดาว 22 ก.พ. นี้

นายสุรนันท์ ศุภวรรณกิจ ผู้อำนวนการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต (ศว.รังสิต) กล่าวว่า ศว.รังสิตได้ติดตั้งเครื่องฉายดาว ระบบออปโต้แม็คคานิคพร้อมอุปกรณ์ไว้ในท้องฟ้าจำลองรังสิต เสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 22 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป จะเปิดให้บริการแก่ผู้สนใจทั่วไปเข้าชม

สำหรับท้องฟ้าจำลอง รังสิต เป็นท้องฟ้ามีลักษณะโดมเอียง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 18 เมตร สามารถรองรับผู้ชมได้ 160 ที่นั่งต่อรอบ ถือได้ว่าเป็นท้องฟ้าที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีเครื่องฉายดาว 2 ระบบ คือ เครื่องฉายดาวระบบออปโต้แม็คคานิค ที่มีความสามารถในการแสดงองค์ประกอบต่างๆ ทางดาราศาสตร์ ให้ภาพที่ชัดเจนครบถ้วนเครื่องฉายดาวระบบดิจิทัลที่มีความสามารถฉายภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ได้แบบเต็มโดม เมื่อนำเครื่องฉายทั้งสองระบบมาฉายรวมกัน จะทำให้การแสดงทางดาราศาสตร์ในท้องฟ้าจำลองสมบูรณ์แบบ ทั้งภาพ แสง สีและเสียง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

งานหนัก 2 นักบินสหรัฐฯ

งานหนัก 2 นักบินสหรัฐฯ ต้องเดินอวกาศ 3 ครั้งใน 9 วัน31 January 2007

เอพี – นาซาส่งงานหนักให้ 2 นักบินในสังกัดที่ประจำอยู่บนสถานีอวกาศ ออกไปทำระบบความเย็นถาวรให้กับห้องปฏิบัติการ ต้องออกไปเดินอวกาศนอกสถานีถึง 3 ครั้งภายใน 9 วัน และนับเป็นภารกิจครั้งแรกที่ไม่มีนักบินจากยานอวกาศมาช่วยเตรียมการ

ไมเคิล โลเปซ-อเลเกรีย (Michael Lopez-Alegria) และสุนิตา วิลเลียมส์ (Sunita Williams) นักบินอวกาศสหรัฐ 2 นายที่ประจำอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ เตรียมการออกไปปฏิบัติภารกิจเดินนอกสถานีอวกาศ 3 ครั้งภายใน 9 วันที่จะถึงนี้

การเดินอวกาศภายนอกสถานีคราวนี้ นับเป็นครั้งแรกที่นักบินอวกาศของสหรัฐฯ ออกไปปฏิบัติ โดยไม่มียานอวกาศจอดเทียบสถานีแต่อย่างใด

ภารกิจครั้งนี้ นักบินอวกาศจะออกไปเชื่อมต่อท่อแอมโมเนียเพื่อทำความเย็นให้ห้องปฏิบัติการของสหรัฐฯ จากเดิมเป็นระบบแบบชั่วคราว ให้กลายเป็นแบบถาวร พร้อมทั้งสละร่มบังแสงอาทิตย์และผ้าคุลมกันความร้อน ภายในภารกิจเดินอวกาศ 3 ครั้งนอกสถานี

หลังจากออกท่องอวกาศครั้งแรกในวันพุธนี้ อีก 2 ครั้งถัดไปคือ วันอาทิตย์และวันพฤหัสบดี

ถ้าการเดินอวกาศครั้งนี้เป็นไปตามแผน โดยโลเปซ-อเลเกรียจะมีเวลาพักระหว่างเดินอวกาศแต่ละครั้ง 3 วัน (หรือมากกว่านั้นหากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย) และพักยาวก่อนที่จะเดินอวกาศเป็นครั้งที่ 4 ในปลายเดือนกุมภาพันธ์

การเดินอวกาศติดๆ กันครั้งนี้นับเป็นภารกิจที่ไม่ธรรมดาของสหรัฐฯ เพราะปกติจะปฏิบัติการก็ต่อเมื่อมียานอวกาศมาเทียบเท่า เพราะต้องใช้นักบินอวกาศหลายนายร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสวมชุดอวกาศ เปิดปิดแอร์ล็อก ช่วยบังคับแขนกลที่ติดอยู่กับสถานีและบนตัวยานเพื่อให้กล้องติดตามไปบันทึกภาพนักบินที่อยู่ด้านนอกได้ตลอดเวลา

ภารกิจเดินอวกาศโดยใช้ลูกเรือเพียงแค่ 3 นายนั้นนับเป็นภารกิจที่ยากยิ่ง และต้องควบคุมภารกิจจากสถานีอวกาศ ไม่ใช่จากภาคพื้นดินที่ศูนย์ควบคุมฮุสตันเหมือนตอนที่ยานอวกาศมาเชื่อมต่อ และต้องรีบทำในเวลาใกล้ๆ กันนั้นก็เพราะประหยัดเวลาและทรัพยากรในการเตรียมปฏิบัติการ อีกทั้งทางภาคพื้นดินเชื่อว่านักบินทั้ง 2 มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์จึงไม่นาจะมีปัญหากับภารกิจเดินอวกาศที่ถี่ขนาดนี้

และเมื่อระบบทำความเย็นถาวรเปิดดำเนินการหลังภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้น ยานอวกาศเที่ยวต่อไปของสหรัฐฯ ที่จะมาเชื่อมกับสถานีคือในช่วงกลางเดือนมีนาคม

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000012462

ฉลากสิ่งทอนาโน


นาโนเทคเตรียมคลอดฉลากสิ่งทอนาโน

ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา หัวหน้าหน่วยบริการวิเคราะห์ทดสอบ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) กล่าวว่า ศูนย์นาโนเทคโนเทคได้สำรวจเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าและสิ่งทอ ถึงความต้องการมีฉลากที่บ่งชี้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์นาโน เพื่อรับรองมาตรฐานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมสำหรับส่งออกสินค้า คาดว่าจะเก็บข้อมูลเสร็จราวเดือนกันยายน จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำมาตรฐานและรูปแบบฉลาก คาดว่าจะใช้งานได้จริงในปี 2551 และจะขยายการจัดทำฉลากนาโนไปยังอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นลำดับต่อไป

ในเบื้องต้นจะอิงลักษณะสิ่งทอนาโน ที่กำหนดโดยคณะกรรมการวิชาการสาขานาโนเทคโนโลยี (TC 229) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 20 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย หากผู้ประกอบการสิ่งทอต้องการฉลากนาโนดังกล่าว สามารถติดต่อใช้บริการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อขอรับรองมาตรฐานเบื้องต้นได้ที่ศูนย์นาโนเทค นอกจากนี้ศูนย์นาโนเทคจะนำเข้าเทคโนโลยีรองรับการให้บริการตรวจสอบที่ครอบคลุมความเป็นนาโนทั้ง 6 ชนิด เช่น ตรวจช่วงความลึกระดับ 1-100 นาโนเมตร ตรวจอนุภาคเส้นใย

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

เหยื่อภัยธรรมชาติ

ยูเอ็นระบุปีที่แล้ว "เอเชีย" เป็นเหยื่อภัยธรรมชาติมากที่สุด

เอเอฟพี/เอเจนซี - รายงานของศูนย์วิจัยในเบลเยียมจัดทำร่วมกับหน่วยงานสหประชาชาติ ชี้ ทวีปเอเชียมีผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติมากที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว เพราะเจอทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่อินโดนีเซียและฤทธิ์ไต้ฝุ่นทุเรียน แถมรัฐบาลก็ไม่ลงทุนวางมาตรการป้องกันหรือบรรเทาทุกข์ ทั้งๆที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู


รายงานที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยการระบาดวิทยาของภัยพิบัติ หรือ "ซีอาร์อีดี" (Centre for Research on the Epidemiology of Disasters : CRED) แห่งมหาวิทยาลัยลูแวง (University of Louvain ) ในเบลเยียม ร่วมกับสำนักงานยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศเพื่อการลดภัยพิบัติ แห่งสหประชาชาติ หรือ "ไอเอสดีอาร์" (International Strategy for Disaster Reduction : ISDR) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า เหตุภัยธรรมชาติเกือบ 400 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีแล้ว ได้คร่าชีวิตประชาชนไป 21,342 คน

ตัวแทนของซีอาร์อีดี แถลงว่า ทวีปเอเชีย ยังคงเป็นทวีปที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติรุนแรงที่สุด โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติเมื่อปี 2549 นั้น เกือบสามในสี่ (74.2%) เป็นชาวเอเชีย ส่วนทวีปยุโรปมีเหยื่อภัยพิบัติมากเป็นอันดับสอง รองจากเอเชีย โดย 15.3%ของจำนวนเหยื่อภัยพิบัติ เป็นชาวยุโรป ตามมาด้วยทวีปแอฟริกา 7.5% ทวีปอเมริกา 2.9% และแถบโอเชียเนีย 0.1%

เดอบาราติ กูฮา-ซาปีร์ (Debarati Guha-Sapir) ผู้อำนวยการของซีอาร์อีดี แถลงว่า ถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่เอเชียยังคงเป็นพื้นที่ประสบปัญหาหนักสุด เพราะสภาพเศรษฐกิจในเอเชียกำลังเฟื่องฟู แต่รัฐบาลกลับไม่ลงทุนวางมาตรการป้องกันและเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติ

ทั้งนี้ รายงานของซีอาร์อีดีและไอเอสดีอาร์ระบุว่า แผ่นดินไหวบนเกาะชวาของอินโดนีเซีย เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไป 5,778 คน ถือเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2549

ภัยพิบัติครั้งใหญ่รองลงมาคือ วาตภัยจากไต้ฝุ่นทุเรียนที่พัดถล่มฟิลิปปินส์เมื่อเดือนธันวาคมคร่าชีวิตผู้คนไป 1,399 คน และแผ่นดินถล่มที่ฟิลิปปินส์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว กลืนร่างผู้เสียชีวิตไป 1,112 ศพ ตามมาด้วยเหตุคลื่นความร้อนเมื่อเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,000 คน ในเนเธอร์แลนด์ และ 940 คน ในเบลเยียม

กูฮา-ซาปีร์ กล่าวว่า การที่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปติดอันดับเป็นพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติอย่างหนัก ถือเป็นเรื่องน่าสลดใจ ทั้งนี้ ผู้อำนวยการซีอาร์อีดีกล่าวว่า ประเทศในยุโรปโดยทั่วไปก็ไม่ได้วางแผนรับมือหรือลดผลกระทบจากเหตุภัยธรรมชาติ อย่างเพียงพอ

ทว่า บังกลาเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กลับมีความคืบหน้าในการบรรเทาภัยพิบัติ โดยกูฮา-ซาปีร์ กล่าวว่า เมื่อปี 2516 มีประชาชนราว 15,000 คนเสียชีวิตจากอุทกภัยในบังกลาเทศ แต่หลังจากนั้น รัฐบาลได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ต่ำและสร้างที่หลบภัยจากพายุไซโคลน มาตรการเหล่านี้ทำให้เหยื่อภัยธรรมชาติลดลง

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000012197

จีน-ออสซี่ขาดแคลนน้ำ


"โลกร้อน" จะทำคนอดอยากหลายร้อยล้าน จีน-ออสซี่ขาดแคลนน้ำถึงขั้นวิกฤต

เอเจนซี/เอเอฟพี - อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ผู้คนอีกหลายร้อยล้านหิวโหย ภายในปี 2080 และเป็นสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนน้ำถึงขั้นวิกฤตในจีนและออสเตรเลีย รวมไปถึงบางส่วนของยุโรปและสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์เตือนไว้ในรายงานสภาพภูมิอากาศโลกฉบับใหม่ที่รั่วออกมา

ยังไม่ทันที่ตัวรายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) จะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์กำลังแก้ไข แต่ข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับร่างรายงานดังกล่าวก็ได้รั่วไหลออกมา โดยระบุว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ผู้คนประมาณ 1,100 ล้าน ถึง 3,200 ล้านคน ขาดแคลนน้ำ ขณะที่อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 2-3 องศาเซลเซียส

รายงานส่วนที่สองดังกล่าว ซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในเดือนเมษายน แต่ นสพ.ดิเอจ (The Age) ของออสเตรเลีย นำรายละเอียดมาตีพิมพ์ก่อน ระบุว่า คนทั่วโลกอีก 200 ถึง 600 ล้านคน จะขาดแคลนอาหารในอีก 70 ปีข้างหน้า และน้ำท่วมชายฝั่งจะทำลายบ้านเรือนอีก 7 ล้านหลัง

"ข่าวสารที่ได้ออกมาก็คือ ทุกภูมิภาคของโลกจะได้รับผลกระทบ" ดร.แกรม เพียร์แมน ซึ่งเป็นผู้ช่วยร่างรายงานชิ้นนี้ กล่าว

"ถ้าลองดูที่จีน เช่นเดียวกับออสเตรเลีย ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่เกษตรกรรมของพวกเขาจะขาดหายไปเป็นจำนวนมาก" เพียร์แมน อดีต ผอ.ด้านสภาพภูมิอากาศขององค์การศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย เผย

ทวีปแอฟริกาและประเทศยากจน เช่น บังกลาเทศ จะเป็นที่ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะพวกเขามีความพร้อมจะรับมือกับภัยตามชายฝั่งและความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นน้อยที่สุด เพียร์แมนกล่าว

ไอพีซีซี ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปด้านภูมิอากาศจากทั่วโลก กำหนดจะเผยแพร่ส่วนแรกของรายงานฉบับนี้ในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ.ที่กรุงปารีส โดยจากเนื้อหาซึ่งรั่วออกมาแล้วเช่นกัน ไอพีซีซีคาดไว้ในเนื้อหาของส่วนแรกนี้ว่า ภายในปี 2100 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 2 ถึง 4.5 องศาเซลเซียส จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยมีการ "ประมาณแบบเจาะจงที่สุด" อยู่ที่ 3 องศา

รายงานส่วนแรกนี้ มุ่งสรุปรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ส่วนรายงานส่วนที่สองของเดือนเม.ย. จะกล่าวถึงรายละเอียดผลกระทบของภาวะโลกร้อนและทางเลือกต่างๆสำหรับการปรับตัวรับมือ

ตามข่าวของดิเอจ ร่างรายงานส่วนที่สอง มีบทหนึ่งที่กล่าวถึงออสเตรเลียทั้งบท โดยเวลานี้แดนจิงโจ้ก็กำลังเผชิญกับภัยแล้งรุนแรงที่สุดนับแต่มีการบันทึกมา รายงานเตือนว่า ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในแนวปะการัง Great Barrier Reef อาจกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปี ภายในปี 2030 เป็นอย่างเร็ว เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และเป็นกรดมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเตือนด้วยว่า แนวปะการังดังกล่าว อาจ "สูญพันธุ์" ลงได้

นอกจากนี้ หิมะจะหายไปจากเทือกเขาฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ขณะที่ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าไปยังลุ่มแม่น้ำเมอร์เรย์-ดาร์ลิง ซึ่งเป็นเขตเพาะปลูกสำคัญของประเทศ จะลดลงประมาณ 10 ถึง 25% ภายในปี 2050

สำหรับในยุโรป ธารน้ำแข็งจะหายไปจากเทือกเขาแอลป์ตอนกลาง ส่วนประเทศที่เป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกจะถูกเล่นงานอย่างหนักจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและพายุโซนร้อนที่จะเกิดบ่อยขึ้น

นอกจากรายงานของไอพีซีซีแล้ว เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ก็มีรายงานข้อมูลโดยโครงการสิ่งแวดล้อมของยูเอ็น (UNEP) ระบุว่า ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เป็นสัญญาณเด่นชัดว่า ปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงใหญ่ ได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว

ธารน้ำแข็งที่อ้างในรายงานจำนวน 30 แห่ง ซึ่งหน่วยงาน World Glacier Monitoring Service เป็นผู้เฝ้าติดตาม มีความหนาลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 66 ซม. ในปี 2005

"ข้อมูลชิ้นใหม่นี้ ยืนยันแนวโน้มการละลายที่รวดเร็วขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา" คำแถลงของUNEP ระบุ

การก่อตัวของธารน้ำแข็งทั่วโลกลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 10.5 เมตร ตั้งแต่ปี 1980 ในทศวรรษนี้ ธารน้ำแข็งดังกล่าว ละลายโดยเฉลี่ยแต่ละปีเร็วกว่าในช่วงทศวรรษ 90 ประมาณ 1.6 เท่า และละลายเร็วกว่า ในทศวรรษ 80 ประมาณ 6 เท่า

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000012340

สูตรเพิ่มพลังซีพียูแรง-เร็ว

อินเทลพบสูตรเพิ่มพลังซีพียูแรง-เร็ว

อินเทลอวดความสำเร็จครั้งใหญ่ พัฒนาสารผสมชนิดใหม่สำหรับชิพประมวลผลขนาด 45 นาโนเมตรได้เป็นรายแรกของโลก เท่ากับว่าทำให้มีพื้นที่บรรจุทรานซิสเตอร์ลงบนซีพียูได้มากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มประสิทธิภาพประมวลผลแรงขึ้น แต่กินไฟน้อยลง
ชีพียู หรือหน่วยประมวลผลทั่วไปที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ทำขึ้นจากสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เรียกว่า ซิลิกอน ซึ่งนำมาใช้กับทรานซิสเตอร์ที่อัดแน่นกันอยู่บนซีพียู ซีพียูตัวหนึ่งประกอบด้วยทรานซิสเตอร์นับล้านตัวทำหน้าที่เป็นสวิตช์เปิด/ปิดสำหรับประมวลผลข้อมูลดิจิทัลที่แทนค่าด้วย "ศูนย์" และ "หนึ่ง"
หน่วยประมวลผลตัวล่าสุดของอินเทลมีทรานซิสเตอร์เบียดเสียดกันอยู่ถึง 500 ล้านตัวบนพื้นที่ไม่กี่ตารางนิ้ว และยิ่งเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้น ยิ่งต้องการซีพียูที่ประมวลผลเร็วขึ้นตามตัว แต่โจทย์หินสำหรับผู้พัฒนาซีพียูคือ ทำอย่างไรถึงจะย่อส่วนทรานซิสเตอร์ให้เล็กลงกว่าเดิม ทำงานเร็วขึ้น แต่กินไฟน้อยลง
นายมาร์ค บอหร์ ผู้บริหารอาวุโสของอินเทล เผยความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิพระดับ 45 นาโนเมตรได้เป็นรายแรกของโลก และเป็นความก้าวหน้าล่าสุดของวงการชิพ หลังจากบริษัทผลิตชิพด้วยเทคโนโลยีระดับ 65 นาโนเมตรเมื่อ 2 ปีก่อน
ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการวิจัยหาวัสดุผสมชนิดใหม่ที่เรียกว่า "ไฮเค+เมทัลเกต" ที่เป็นสารผสมเฉพาะของอินเทล ที่กินกระแสไฟต่ำมาก ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ฉีกตำราการพัฒนาชิพในท้องตลาด ซึ่งเดิมขนาดของชิพที่เล็กลง จะยิ่งทำให้ชิพเกิดความร้อน และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
ชิพที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ มีความสามารถในการประมวลผลภาพ เสียง และกราฟิกได้ดีขึ้น ทั้งยังทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น วินโดวส์ วิสต้า, เอ็กซ์พี, แมค โอเอส เอ็กซ์ และลินิกซ์ โดยบริษัทเตรียมผลิตชิพรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวภายใต้โค้ดเนมว่า "เพนริน (Penryn)" ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ซึ่งจะรองรับการทำงานของผู้ใช้ได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้เครื่องเดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ค และเครื่องแม่ข่าย ระดับกลางถึงสูง

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Tuesday, January 30, 2007

ปัญหา “โลกร้อน”

กูรูด้านอากาศประชุมใหญ่เตรียมรายงานปัญหา “โลกร้อน”30 January 2007

เอพี/เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์และบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศของโลกระดับหัวกะทิกว่า 500 คนกำลังเดินเครื่องประชุมกันยาว 4 วันที่กรุงปารีส เพื่ออนุมัติรายงานฉบับทันสมัยล่าสุด ว่าด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนยันว่า โลกกำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้น และจะนำเผยแพร่สู่สาธารณชน หวังสร้างความตระหนัก

คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ "ไอพีซีซี" (UN Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) กำลังเตรียมการนำรายงานฉบับใหญ่ออกเผยแพร่ในวันที่ 2 ก.พ. โดยจัดประชุมใหญ่ระดมนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศกว่า 500 คนตรวจสอบรายงานฉบับนี้ชนิดคำต่อคำ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 29 ม.ค. - 1 ก.พ.

รายงานฉบับที่กำลังแก้ไขอยู่นี้นับเป็นรายงานฉบับแรกตั้งแต่ปี 2544 และนับเป็นฉบับที่ 4 ภายหลังการก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นในปี 2531

การประชุมของคณะกรรมาธิการในครั้งนี้ เพื่อถกถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่สุดในรอบหลายพันปี และจะสร้างความตระหนักให้เกิดการกระทำเพื่อลดปัญหาดังกล่าว

ผลงานของไอพีซีซี ได้รับความนับถืออย่างยิ่งในเรื่องความเป็นกลางและความสุขุมรอบคอบ รวมทั้งสามารถส่งอิทธิพลใหญ่โตทั้งต่อนโยบายของภาครัฐบาล, ยุทธศาสตร์ของภาคบรรษัทเอกชน และกระทั่งการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล

ในรายงานปี 2544 ไอพีซีซี ประกาศว่า มลพิษคาร์บอนอันเกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศพุ่งถึงระดับสูงสุดในรอบ 420,000 ปี

โดยที่คาร์บอนไดออกไซด์ ก็คือ “ก๊าซเรือนกระจก” ตัวสำคัญที่สุดในบรรดาก๊าซแบบนี้ 5-6 ชนิด ซึ่งแผ่ซ่านอยู่ในบรรยากาศ และคอยดักกักความร้อนของแสงอาทิตย์เอาไว้ตรงผิวโลก แทนที่จะปล่อยให้รังสีของดาวอาทิตย์ได้สะท้อนกลับออกไปในอวกาศ

รายงานปี 2544 ของไอพีซีซี ระบุว่า ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิของผิวโลกเพิ่มขึ้นราว 0.1 องศาเซลเซียสทุกๆ 10 ปี โดยปัจจัยซึ่งทำให้โลกร้อนขึ้นนี้ส่วนมากที่สุดเป็นฝีมือของมนุษย์

นอกจากนั้น รายงานยังพยากรณ์ว่า ภายในปี พ.ศ.2643 อุณหภูมิบรรยากาศของโลกจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.4-5.8 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้น 0.09-0.88 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมามากน้อยเพียงใด

เป็นที่คาดหมายกันว่า จากการตรวจสอบวินิจฉัยผลการศึกษาวิจัยในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมากมายเป็นภูเขาเลากา ไอพีซีซีน่าจะสามารถปรับตัวเลขประมาณการเหล่านี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก

หนังสือพิมพ์ ดิ อินดิเพนเดนต์ ของอังกฤษ รายงานในฉบับวานนี้ ว่า จากร่างรายงานซึ่งตนได้เห็นมานั้น ไอพีซีซี จะทำนายว่า ในศตวรรษนี้อุณหภูมิมีโอกาสอย่างมากที่จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 2.0-4.5 องศาเซลเซียส แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า มันอาจทะยานถึง 6.0 องศาเซลเซียสหรือกว่านั้น

นอกจากนั้น เป็นที่คาดกันด้วยว่า ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ยังจะระบุถึงหลักฐานใหม่ ซึ่งชี้ชัดว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นแล้ว และทำท่าจะเร่งตัวขึ้นอีกด้วย

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000011614

ยูทูบ-วิกิพีเดีย

“ยูทูบ-วิกิพีเดีย” แบรนด์ทรงอิทธิพล

พุ่งติดท็อป 5 ครั้งแรก “กูเกิล” รั้งแชมป์อีกปีโซนี่ยอดนิยมเอเชีย

นิวยอร์ก (สำนักข่าว ตปท.) – เว็บแชร์ไฟล์ยูทูบ-สารานุกรมออนไลน์วิกิพีเดีย เบียดติด 5 อันดับแรกแบรนด์ทรงอิทธิพลโลกปี 2549 ขณะที่กูเกิลรั้งอันดับ 1 เป็นปีที่ 2

เมื่อวันที่ 29 มกราคม แบรนด์ชาแนลดอตคอม เว็บไซต์นิตยสารโฆษณาออนไลน์ เปิดเผยผลสำรวจแบรนด์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากสุดของโลก ประจำปี 2549 โดยอันดับ 1 ตกเป็นของ กูเกิล เสิร์ชเอ็นจินยอดนิยม เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่เว็บแชร์ไฟล์อย่างยูทูบและเว็บสารานุกรมออนไลน์วิกิพีเดีย สามารถเบียดขึ้นมาติด 5 อันดับแรกได้เป็นครั้งแรก
ผลสำรวจของแบรนด์ช
าแนลดอตคอม เป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์และนักศึกษาทั้งสิ้น 3,625 คน โดยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมตามมาเป็นอันดับ 2 คือ แอปเปิล ตามมาด้วย ยูทูบ วิกิพีเดีย และสตาร์บัคส์

แบรนด์ชาแนลดอตคอม ระบุว่า เหตุที่กูเกิลยังคงรั้งอันดับ 1 ได้เป็นปีที่ 2 เนื่องจากมีการพัฒนาและขยายบริการอย่างสม่ำเสมอ เช่น การโฆษณาออนไลน์ ฟรีอีเมล และบริการเว็บบล็อก

“การเบียดขึ้นมาติดใน 5 อันดับแรกของทั้งยูทูบและวิกิพีเดีย ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความนิยมในรูปแบบเว็บ 2.0 ที่ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมได้ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ รูปภาพ และคลิปวิดีโอ” แอนโทนี ซัมปาโน บรรณาธิการแบรนด์ชาแนลดอตคอม กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุด เว็บยูทูบ ซึ่งมีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมในปีที่ผ่านมาราว 20 ล้านคน ได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารไทม์ให้เป็นนวัตกรรมแห่งปี 2549 ขณะที่เว็บวิกิพีเดียซึ่งมีอายุเพียง 6 ปีนั้น ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแบรนด์ชาแนลเปรียบเทียบเว็บไซต์ทั้ง 2 ว่า ดังระเบิดราวกับใส่ลูกอมเมนมอสลงไปในขวดไดเอตโค้ก

ขณะที่แบรนด์ที่มีอิทธิพลในยุโรป ได้แก่ ไอเกีย สไคป์ โนเกีย ซารา และอาดิดาส ส่วนในเอเชีย แบรนด์ที่มีอิทธิพลมากสุด 5 อันดับแรกได้แก่ โซนี่ โตโยต้า เอชเบสบีซี ซัมซุง และฮอนด้า

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ TODAY

Monday, January 29, 2007

นาโนเขย่าวงการ

อินเทลเปิดผลสำเร็จชิพ45นาโนเขย่าวงการ

สูตรลับไฮเค+เมทัลเกต พิสูจน์ความคงอยู่กฏของมัวร์
อินเทลเผยความสำเร็จครั้งใหญ่ ล้ำหน้าคู่แข่ง 2 ปี พัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิพระดับ 45 นาโนได้เป็นรายแรกของโลก ด้วยสูตรลับ "ไฮเค+เมทัลเกต" เร่งประสิทธิภาพ - ลดการรั่วไหลของกระแสไฟ ช่วยแก้ปัญหาเครื่องร้อน ย้ำใช้ได้กับโอเอสทุกแพลตฟอร์ม เตรียมส่งชิพเซตลอตแรกครึ่งปีแรกปีหน้า ยัน "เซเลอรอน" ยังอยู่ แถมสมถรรถนะสูงขึ้น

นายมาร์ค บอหร์ ผู้บริหารอาวุโสของอินเทล กล่าวผ่านเวบแคสในโอกาสเผยความสำเร็จครั้งใหม่ในวงการชิพทั่วโลกว่า อินเทลประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิพระดับ 45 นาโนเมตรได้เป็นรายแรกของโลก และเป็นความก้าวหน้าล่าสุดของวงการชิพ หลังจากบริษัทผลิตชิพด้วยเทคโนโลยีระดับ 65 นาโนเมตรเมื่อ 2 ปีก่อน

เทคโนโลยีใหม่ถือเป็นพัฒนาการของการผลิตชิพระดับนาโน สเกล ภายใต้สถาปัตกรรมหลักของอินเทล ซึ่งแตกต่างจากการพัฒนาวิธีการผลิตชิพในท้องตลาด ซึ่งเดิมขนาดของชิพที่เล็กลง จะยิ่งเพิ่มการคายความร้อนของกระแสไฟฟ้า ส่งผลให้ตัวเครื่องเกิดความร้อน แต่สูตรผสมใหม่ "ไฮเค+เมทัลเกต" ที่เป็นสารผสมเฉพาะของอินเทลจะช่วยให้กระแสไฟรั่วไหลต่ำมาก ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น

"สารผสมดังกล่าวถือเป็นการปฏิวัติวงการชิพที่มีจุดเด่นที่ช่วยลดความร้อนได้ถึง 10 เท่า และเพิ่มความเร็วเครื่องให้ทำงานเร็วขึ้นเท่าตัว ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้เครื่องแม่ข่ายจะเห็นผลได้ชัดเจนมาก" นายบอหร์ กล่าว

ทั้งยังระบุว่า ชิพที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่มีความสามารถในการประมวลผลภาพ เสียง และกราฟฟิกได้ดีขึ้น ทั้งยังทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวินโดว์ส วิสต้า, เอ็กซ์พี, แมค โอเอส เอ็กซ์ และลินิกซ์ โดยบริษัทเตรียมผลิตชิพรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวภายใต้โค้ดเนมว่า "เพนริน (Penryn)" ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ซึ่งจะรองรับการทำงานของผู้ใช้ได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้เครื่องเดสก์ทอป, โน้ตบุ๊ค และเครื่องแม่ข่าย ระดับกลางถึงสูง

เทคโนโลยีดังกล่าว ยังถือเป็นการตอกย้ำความแม่นยำของ "กฎของมัวร์" ซึ่งระบุไว้ว่า ทุกๆ 2 ปี จำนวนทรานซิสเตอร์ในตัวชิพจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยช่วงครึ่งปีหลังปีนี้อินเทลคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ ที่โรงงาน 2 แห่งในสหรัฐ ก่อนจะปรับการผลิตทั้งหมดเป็นเทคโนโลยี 45 นาโมตรในโรงงานครบ 3 แห่งภายในครึ่งปีแรกของปี 2551

นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความสำเร็จดังกล่าวเป็นการก้าวนำตลาด และคู่แข่งประมาณ 2 ปี ซึ่งทำให้อินเทลสามารถผลิตสินค้าในปริมาณที่มากกว่าเทคโนโลยีเดิมเท่าตัว และมีต้นทุนต่ำลง และยังเป็นการเร่งการเข้าสู่ยุคของชิพมัลติคอร์ ซึ่งมีความสามารถในการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น

หลังจากเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตชิพครั้งนี้ บริษัทจะสามารถผลิตชิพเซ็ตออกมารองรับได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2551 ซึ่งคาดว่า แง่ของราคาจะไม่แตกต่างจากเทคโนโลยีเก่ามากนัก เนื่องจากวิธีใหม่สามารถผลิตได้จำนวนมากขึ้น แต่ต้นทุนลดลง
ส่วนแง่ประสิทธิภาพการทำงานน่าจะสามารถเปรียบเทียบผลได้ชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วงให้กลุ่มโออีเอ็มทดสอบประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม สำหรับชิพที่ผลิตจากเทคโนโลยีเดิมก็จะค่อยๆ ออกสู่ตลาด และแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่คาดว่าหน่วยประมวลผลรุ่นระดับล่างอย่าง "เซเลอรอน" จะยังไม่หายไปจากตลาดแน่นอน แต่อาจประยุกต์ความสามารถของสถาปัตยกรรมการผลิตชิพปัจจุบันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของชิพตัวเดิมให้สูงขึ้นแทน

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=151287
Link: http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=151287

แยกยาก “เสื้อนาโน” แท้-เทียม


แยกยาก “เสื้อนาโน” แท้-เทียม วานผู้บริโภคพึ่งตัวเองก่อนมีมาตรฐานชี้

หลายคนคงเคยไปเลือกซื้อเสื้อผ้า แล้วพบ “เสื้อนาโน” ที่ราคาแพงกว่าเสื้อผ้าธรรมดาถึง 2-3 เท่าตัว แต่ลำพังสำรวจด้วยตา-สัมผัสด้วยมือก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าเสื้อที่เห็นนั้นใช้เทคโนโลยีจิ๋วๆ สอดแทรกเข้าไปในเส้นใยผ้าจริง แล้วนาโนเทคโนโลยีจะทำให้ชุดธรรมดาๆ มีสมบัติพิเศษสมดังคำกล่าวอ้างของแม่ค้าหรือไม่ จึงเกิดคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นของแท้หรือของปลอม

ท่ามกลางกระแสนาโนเทคโนโลยีซึ่งหลั่งไหลเข้ามาให้สังคมไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา “เสื้อนาโน” คือความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดในเมืองไทย ภายหลัง “ความฮือฮา” แรกของปรากฏการณ์นาโนเทคโนโลยีในเครื่องสำอาง “ขมิ้นชัน” ที่ได้รับการเทียบชั้นเครื่องสำอางระดับโลก ก็มาถึงความสำเร็จในการพัฒนาเสื้อนาโนของนักวิจัยไทยจนต่อยอดสู่การค้า และมีแนวโน้มพัฒนาต่อยอดเมื่อศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ตั้งเป้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอในเมืองไทยด้วยนาโนเทคโนโลยี

วางขายทั้งที่อาจเป็น “นาโนปลอม”

ความสำเร็จที่ออกมาจากห้องปฏิบัติการสู่ตลาดแต่ไม่ได้มาพร้อมไม้บรรทัดวัดมาตรฐานนั้น เป็นโอกาสให้พ่อค้าหัวใสฉกฉวยจังหวะที่ลูกค้ากำลังงงๆ กับเทคโนโลยีใหม่กล่าวอ้างว่าสินค้าที่ขายนั้นคือ “เสื้อนาโน” ซึ่งกันยับ ไร้กลิ่น สิ้นเชื้อโรค แต่ยากที่ลูกค้าจะพิสูจน์ เช่นเดียวกับกรณีหลงซื้อต้นมะขามหวานไปปลูกแต่กว่าจะรู้ว่าคือมะขามเปรี้ยวก็ผ่านไปหลายปี

“กรณีเสื้อเหลืองก็มีคนเอาไปขายแบกะดินหน้าวังสวนจิตรฯ แล้วบอกว่าเป็นเสื้อนาโน ทั้งที่ไม่รู้ว่านาโนจริงหรือไม่” คำพูดโอดครวญของ นายพิชัย อุตมาภินันท์ ผู้ประกอบการซึ่งผลิตเสื้อฉลองครองราชย์ ๖๐ ปี ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้แบรนด์ I-TEX และเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่รับช่วงเทคโนโลยีการพัฒนาเสื้อนาโนมาจากนักวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“นาโนมาร์ก” มาตรฐานเสื้อนาโนที่ต้องรออีก 6 เดือน

หลังจากที่ปล่อยให้มีการอวดอ้างกันเกลอแผงเสื้อผ้า ทางนาโนเทคก็ได้หลักที่จะสร้างมาตรฐานให้กับเสื้อนาโนด้วย “นาโนมาร์ก” (Nano Mark) ซึ่งผู้ผลิตที่ใช้นาโนเทคโนโลยีจริงเท่านั้นจึงจะได้การรับรองดังกล่าว แต่กระบวนการก็ยังอยู่ในขั้นตอนจัดตั้งคณะกรรมการและเพิ่งผ่านการหารือกับผู้ประกอบการสิ่งทอในการจัดทำมาตรฐานได้ไม่นาน โดยคาดว่าไม่เกิน 6 เดือนนี้จะได้มาตรฐานออกมา

ระหว่างนี้ทางนาโนเทคก็ได้จัดทำคู่มือเล่มเล็กๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเสื้อนาโน โดยอธิบายว่าเป็นเสื้อที่ใช้เทคโนโลยีระดับนาโนเมตรเพื่อไปเพิ่มประสิทธิภาพเสื้อผ้าให้มีสมบัติพิเศษ อาทิ กันน้ำ กันรังสียูวี กันเชื้อแบคทีเรีย โดยการเพิ่มสารบางชนิดลงไป ส่วนจะทราบได้อย่างไรว่าเสื้อที่สวมใส่นั้นเป็นเสื้อนาโนก็มีคำแนะนำแนบในหน้าสุดท้าย ด้วยเนื้อหาสั้นๆ ที่ให้ทดสอบด้วยตัวเองว่าเสื้อผ้าที่ซื้อหามานั้นมีคุณสมบัติดังคำโฆษณาหรือไม่ แต่จะตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และการทดลองในห้องปฏิบัติการ อาทิ เครื่องดีแอลเอส (Dynamic Light Scattering: DLS) และกล้องเอสทีเอ็ม (Scanning Tunneling Microscope: STM) เป็นต้น

“ของแท้-ของปลอม” มีแค่จุฬา-นาโนเทคที่พิสูจน์ได้

“ดูยากนะ” ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา นักวิชาการนาโนเทคให้ความเห็นต่อคำถามว่าผู้บริโภคทั่วไปจะแยกแยะได้อย่างไรว่าเป็นเสื้อนาโน โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือต้องมีฉลาก พร้อมทั้งอธิบายอีกว่าการทดสอบต้องใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป อาทิ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน กล้องเอเอฟเอ็ม (Atomic Force Microscope: AFM) หรือกล้องเอสอีเอ็ม (Scanning Electron Microscope: SEM) เป็นต้น โดยปัจจุบันมีเพียงห้องปฏิบัติการของนาโนเทคและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้นที่ทดสอบได้ว่าเป็นเสื้อนาโนจริงหรือไม่

“ผู้บริโภคทั่วไปก็พิจารณาคุณสมบัติตามที่เขาโฆษณา ดูว่ากันน้ำ กันยับจริงไหม แต่ถ้ากันแบคทีเรียก็ดูยากหน่อย ต้องส่งเข้าห้องแล็บดูว่าเชื้อเจริญเติบโตแค่ไหน หรืออาจจะซื้อไปใส่แล้วดูว่ามีกลิ่นอับไหม” ดร.ณัฐพันธุ์อธิบาย พร้อมให้นิยามเสื้อนาโน 6 ข้อคือ 1.ต้องผลิต ออกแบบหรือสังเคราะห์เส้นใยหรืออนุภาคที่ใช้เคลือบเส้นใยที่ความเล็กระดับนาโนเมตร 2.เข้าถึงหน่วยย่อยที่สุดของเสื้อผ้าคือโมเลกุลน้ำตาลของผ้าฝ้ายและมอนอเมอร์ของใยสังเคราะห์ 3.อนุภาคที่เคลือบเส้นใยต้องจัดเรียงเป็นระเบียบและสม่ำเสมอ 4.เกิดคุณสมบัติใหม่ในสารที่ใช้เคลือบและเป็นคุณสมบัติที่เกิดเฉพาะในความเล็กระดับนาโนเมตรเท่านั้น 5.เกิดคุณสมบัติใหม่ในเสื้อผ้าที่ใช้นาโนเทคโนโลยี 6.ลักษณะของผ้าต้องไม่ต่างไปจากเดิม

สำหรับเสื้อนาโนที่มีขายในปัจจุบันนั้นเป็นเสื้อที่มีคุณสมบัติดังนี้ 1.กันเปื้อนซึ่งรวมคุณสมบัติกันน้ำเข้าไปด้วย 2.กันเชื้อโรค 3.กันรังสียูวี และ 4.ทำความสะอาดตัวเองได้ ทั้งนี้นอกจากมาตรการนาโนมาร์กที่จะประทับความมั่นใจให้กับผู้บริโภคแล้ว เราก็ยังไม่มีกฎหมายใดที่จะเอาผิดผู้ประกอบการที่หลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับการอวดอ้างคุณสมบัติด้วยนาโนเทคโนโลยี ยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับตราฉลากเท่านั้น

งัดกฎหมาย “ฉลาก” เอาผิดคนคิดปลอมเสื้อนาโน

ประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่องลักษณะของฉลากสินค้าที่ควบคุมฉลาก พ.ศ.2541 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541 เป็นกฎหมายเดียวที่จะเอาผิดผู้ประกอบการที่เอาเปรียบผู้บริโภคจากกระแสศรัทธานาโนเทคโนโลยีได้ในขณะนี้ ซึ่งผู้ประกอบการที่ระบุข้อความบนสินค้าว่าเป็นนาโนเทคโนโลยีโดยเป็นเท็จจะได้รับโทษตามประกาศ รวมถึงผู้หลอกลวงผู้บริโภคอื่นๆ ที่เข้าข่ายด้วย

ตัวอย่างบทลงโทษที่พอจะทำให้ผู้คิดทำผิดต้องร้อนๆ หนาวๆ เช่น โทษจำคุก 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ที่เจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น รวมทั้งผู้ที่โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จและก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระ หรือโทษจำคุก 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ผลิตเพื่อขายสินค้าโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากที่แสดงไม่ถูกต้อง เป็นต้น

“แม้เราไม่มีแล็บตรวจสอบ แต่เราก็สามารถส่งไปตรวจยังห้องแล็บที่ตรวจสอบได้ หากสินค้าใดไม่ใช่สินค้านาโนเทคโนโลยีตามที่กล่าวอ้างก็จะได้รับโทษตามกฎหมาย และอนาคตถ้ามีการร้องเรียนเรื่องเสื้อนาโน ภาระการพิสูจน์จะอยู่ที่ผู้ประกอบธุรกิจ” คำชี้แจงอันแข็งกร้าวของ นางสาวทรงศิริ จุมพล เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ถึงการอวดอ้างคุณสมบัติของสินค้าด้วยนาโนเทคโนโลยีโดยที่ไม่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจริง

สิ่งทอแบรนด์ดังขอเวลาศึกษาความชัดเจน

ในมุมของผู้ประกอบการเองแม้จะยังเห็นภาพไม่ชัดเจนว่านาโนเทคโนโลยีคืออะไรและจะเข้ามาส่งเสริมธุรกิจสิ่งทอได้อย่างไร แต่ก็มีรายหลายที่แสดงความสนใจที่จะกระโดดมาร่วมวงของธุรกิจใหม่นี้ ซึ่งนางสาวนฤมล รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการผู้จัดการ บริษัท นันยางการทออุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่ามีความสนใจที่จะนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับสิ่งทอของบริษัท เพื่อหนีการแย่งชิงตลาดระดับล่างของจีนและเวียดนามที่เข้ามาแทนที่ไทย และเป็นโอกาสที่จะดึงศักยภาพของนักวิจัยไทยออกมา

“ผู้บริหารเห็นว่านี่คืออนาคตของประเทศและเป็นการยกระดับองค์กร แต่นาโนก็เป็นแค่ช่องทางหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเราอาจใช้เทคโนโลยีอื่นก็ได้มายกระดับสินค้า” นางสาวนฤมลกล่าว พร้อมทั้งเผยถึงศักยภาพของบริษัทว่ามีทั้งโรงปั่น โรงทอ โรงฟอกย้อม และโรงงานตัดเย็บจึงง่ายที่ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิต โดยมีตลาดต่างประเทศเป็นเป้าหมายหลัก อีกทั้งการใช้นาโนเทคโนโลยีกับสิ่งทอของบริษัทจะช่วยยกระดับความรู้ของคนในประเทศด้วย ซึ่งเธอมองว่านักวิจัยไทยก็มีผลงานดีๆ แต่ไม่มีโอกาสได้นำไปใช้ ขณะที่ผู้ประกอบการก็มีโอกาสให้นักวิจัย ทั้งนี้ภาครัฐก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย เพื่อให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้ทำงานร่วมกัน

ขณะที่ นางกัลยาณี ศิริบุญยัง ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนจัดซื้อ บริษัท ประชาอาภรณ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการที่ผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าให้กับแบรนด์ดังๆ อาทิ Lacoste, Arrow, Alle และ BSC เป็นต้น เผยว่าขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีอยู่ และยอมรับว่าขณะนี้กระแสนาโนเทคโนโลยีมาแรงมาก ทำให้ทุกคนรู้จักแต่ก็ยังไม่รู้ความหมาย และตลาดเมืองไทยก็ไปตามกระแส อย่างไรก็ดีในฐานะผู้ประกอบการที่มีแบรนด์ต้องการความชัดเจนมากกว่านี้ โดยต้องดูนโยบายของประเทศและผลตอบรับด้วย จึงจะเริ่มนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ แม้จะช้ากว่าตลาดล่างก็ตามเพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในอนาคต

ส่วนกรณีที่มีมาตรฐานนาโนมาร์กสำหรับเสื้อนาโนออกมา นางกัลยาณีกล่าวว่าเห็นด้วยที่จะมีมาตรฐานดังกล่าว เพราะต้องมีความชัดเจน เนื่องจากตลาดมีความเสรีในการผลิตสินค้าออกมามาก ไม่เช่นนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นจะทำให้ตลาดของสินค้านาโนเทคโนโลยีพัง

ด้าน ดร.ขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าหากนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับอุตสาหกรรมทางด้านสิ่งทอ อาหารและยา จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เยอะ เมื่อเปรียบเทียบไทยกับไต้หวันแล้วถือว่ามีเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งการประยุกต์นาโนเทคโนโลยีเข้ากับอุตสาหกรรมสิ่งทอก็เพียงแค่ต่อยอดเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าสิ่งทอนาโนมีอนาคตที่ดี แต่ไทยคงไม่มีความสามารถด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์เพราะไม่มีฐานการผลิตอยู่ในเมืองไทย

สุดท้ายผู้บริโภคต้องช่วยตัวเอง

อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ผู้บริโภคควรจะต้องทราบเกี่ยวเสื้อนาโนในเมืองไทยคือ ปัจจุบันเรามีเสื้อนาโนจากผู้ประกอบการไทยเพียง 2 รายเท่านั้นที่นำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับเสื้อผ้าโดยความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับหน่วยงานและนักวิจัยไทยคือ เสื้อฉลองครองราชย์ ๖๐ ปี ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้แบรนด์ I-TEX และเสื้อกีฬาภายใต้แบรนด์ "แกรนด์นาโน" (Grand Nano) ของแกรนด์สปอร์ต

ส่วนเสื้อผ้าอื่นๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่าใช้นาโนเทคโนโลยีนั้นผู้บริโภคคงต้องพิจารณาตนเองว่าเป็นเสื้อนาโนจริงหรือไม่ และจำเป็นแค่ไหนที่เราจะต้องใช้เสื้อซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษตามที่คนขายกล่าวอ้าง เนื่องจากเรายังไม่มีมาตรฐานและกฎหมายโดยตรงที่จะคุ้มครองผู้บริโภคจากกรณีนี้
คุณสมบัติพิเศษของ “เสื้อนาโน”


คุณสมบัติ สารที่ใช้ หลักการ
กันน้ำ สารไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ออกแบบพื้นผิวเสื้อผ้าให้ขรุขระและเคลือบสารไม่ชอบน้ำซึ่งเป็นการเลียนแบบปรากฏการณ์ “น้ำกลิ้งบนใบบัว” ที่ผิวใบบัวจะขรุขระและมีสารเคลือบคล้ายขี้ผึ้ง
กันรังสียูวี ซิงค์ออกไซด์/ไททาเนียมไดออกไซด์ สารทั้ง 2 ชนิดมีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสียูวีเอและยูวีบี เมื่อเคลือบบนเส้นใยผ้าจะช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวีและช่วยชะลอสีซีดจางในเสื้อผ้า
กันแบคทีเรีย ซิงค์ออกไซด์/ไททาเนียมไดออกไซด์ /นาโนซิลเวอร์ อนุภาคเงินระดับนาโนเมตรหรือนาโนซิลเวอร์ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ โดยจะทำปฏิกิริยาที่เยื่อเซลล์และขัดขวางการแบ่งตัวของดีเอ็นเอ ส่วนซิงค์ออกไซด์และไททาเนียมไดออกไซด์เป็นสาร “โฟโตคะละลิสต์” ที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกำจัดกลิ่นได้เมื่อมีแสง
กันไฟฟ้าสถิตย์ ซิงค์ออกไซด์/ไททาเนียมไดออกไซด์ /แอนติโมนีตินออกไซด์ ช่วยป้องกันการเกิดแรงดึงดูดระหว่างผิวหนังกับเสื้อผ้าที่ทำให้เสียบุคลิกในการสวมใส่ และป้องกันการเสียดสีจนเกิดประกายไฟ เหมาะสำหรับเมืองหนาวที่อากาศแห้ง แต่เมืองไทยมีอากาศร้อนชื้นจึงมักไม่ประสบกับปัญหาดังกล่าว
กันยับ ไททาเนียมไดออกไซด์ /นาโนซิลิกา ใช้ไททาเนียมไดออกไซด์กับผ้าฝ้ายเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างเส้นใยเซลลูโลสในผ้าฝ้าย และใช้นาโนซิลิกาในผ้าไหมเพื่อกันยับในเนื้อผ้า

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000010939

เสื้อนาโนปลอม

วิทย์-สคบ.ล้อมคอกเสื้อนาโนปลอม

ศูนย์นาโนเทคเปิดห้องแจงมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สิ่งทอนาโน สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อนาโน ด้าน สคบ.เอาจริงสุ่มตรวจเสื้อเหลืองติดฉลากนาโน ส่งตัวอย่างสินค้าให้แล็บจุฬาฯ และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ตรวจสอบ

ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา หัวหน้าหน่วยบริการวิเคราะห์ทดสอบ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ศูนย์นาโนเทคจัดประชุมชี้แจงถึงคุณสมบัติ หรือมาตรฐานของนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งทอ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้ประกอบการสิ่งทอและหน่วยงานราชการ รวมกว่า 70 แห่ง และสามารถใช้ข้อมูลเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจในการลงทุนผลิต

"เมื่อปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์เสื้อเหลืองมีวางขายจำนวนมากจากผู้ผลิตหลายราย ขณะเดียวกันก็มีการแอบอ้างถึงความเป็น "เสื้อนาโน" พร้อมทั้งตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างสูง อีกทั้งปัจจุบันยังไม่มีการจัดทำเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์นาโน จึงสร้างความสับสนให้แก่ผู้ซื้อ" ดร.ณัฐพันธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อปี 2548 องค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน (ไอเอสโอ) จัดตั้งคณะกรรมการวิชาการสาขานาโนเทคโนโลยี (TC 229) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 20 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพื่อจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยี ซึ่งครอบคลุมถึงศัพท์ นิยาม การเรียกชื่อ คุณลักษณะเฉพาะ วิธีการวิเคราะห์ ทดสอบทางด้านเคมี ฟิสิกส์และสมบัติทางชีวภาพ เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการผลิตสากลทั่วโลก

ลักษณะที่เข้าข่ายความเป็นเสื้อนาโนมีข้อสังเกตอยู่ 6 ข้อ สำหรับในแวดวงนักวิชาการและนักวิจัยคือ มีการสังเคราะห์ในช่วงความเล็กระดับ 1 - 100 นาโนเมตร,ใช้ประโยชน์จากส่วนย่อยของใยผ้า เช่น โมเลกุลของน้ำตาลในเส้นใยผ้า,อนุภาคของเส้นใยต้องมีการวางตัวอย่างเป็นระเบียบ และสม่ำเสมอไม่กระจัดกระจาย,

เมื่อได้คุณสมบัติใหม่ของอนุภาคที่เล็กลงระดับนาโนเมตรแล้ว ต้องมีการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง,เสื้อที่เป็นนาโนต้องมีสรรพคุณต่างจากเสื้อทั่วไป เช่น กันน้ำได้ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ไม่ยับ กันไฟได้ เป็นต้น,ความเป็นนาโนจะไม่ทำลายคุณสมบัติพื้นฐานเดิมของเสื้อ เช่น ถึงจะกันน้ำกันไฟกันเชื้อโรคได้ แต่ก็ต้องคงความสวมใส่สบาย และอากาศถ่ายเทสะดวก เป็นต้น

นางสาวทรงศิริ จุมพล เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ขณะนี้มาตรการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย และ สคบ.นำมาใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคจากอุบัติการณ์เสื้อนาโนปลอม มีเพียงการสุ่มตรวจฉลากสินค้าว่าระบุคุณสมบัติตรงตามประสิทธิภาพของเสื้อ ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายกล่าวอ้างหรือไม่ และหากมีผู้ร้องเรียนมาจริง ก็จัดส่งตัวอย่างสินค้าให้ห้องแล็บจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ตรวจสอบ

"เสื้อที่ติดฉลากว่าเป็นเสื้อนาโน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วคุณสมบัติไม่ใช่ อาจจะมีความผิดตามกฎหมายมาตรา 42 เนื่องจากมีเจตนาให้ข้อมูลเท็จหลอกลวงผู้บริโภค โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่ผลิตเสื้อโดยไม่ติดฉลาก จะมีความผิดตามมาตรา 52 ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี ส่วนผู้ที่ขายโดยไม่มีฉลากจะได้รับโทษกึ่งหนึ่งของผู้ผลิต" เจ้าหน้าที่ สคบ. กล่าว

ด้านนายพิชัย อุตมาภินันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ดเท็กซ์ไทล์มิลล์ จำกัด ซึ่งผลิตและจำหน่ายเสื้อนาโน กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เสื้อนาโนของบริษัทจะผ่านขั้นตอนการวิจัยในคนเพื่อดูความเป็นพิษของสารซิลเวอร์ที่ใช้เป็นส่วนผสม โดยนำตัวอย่างผ้าที่เคลือบด้วยสารซิลเวอร์นาโนวางสัมผัสทิ้งไว้บนผิวหนังของอาสาสมัครจำนวน 20 คน จากนั้นตัดชิ้นเนื้อของอาสาสมัครมาตรวจ ก็ไม่มีอาการแพ้ ไม่เกิดผดผื่น อีกทั้งไม่พบสารตกค้างบนผิวหนังชั้นบนและชั้นล่าง

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
Link: http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=151350

ซอฟต์แวร์ตามรถสินค้า

มอ.คิดซอฟต์แวร์ตามรถสินค้าอนาคตปรับใช้ติดตามคนแก่-เด็ก

ม.สงขลานครินทร์ พัฒนาโปรแกรมแสดงตำแหน่งรถขนส่งสินค้าผ่านสัญญาณมือถือ เพื่อติดตามสถานะการขนส่งได้ตลอดเวลา สามารถนำไปปรับใช้เป็นเครื่องมือติดตามเด็ก หรือผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลงลืมได้ด้วย

นายอภิชาติ หีดนาคราม อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เขตการศึกษาภูเก็ต กล่าวว่า เทคโนโลยีการระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียม หรือจีพีเอส ถูกนำไปใช้งานแพร่หลายทั้งในภาครัฐและเอกชน อุปกรณ์ดังกล่าวใช้รับสัญญาณจากดาวเทียม สามารถระบุตำแหน่งของผู้ถืออุปกรณ์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ส่วนที่มีค่าใช้จ่ายคือ ซอฟต์แวร์ ที่จะนำมาใช้แสดงตำแหน่งจากดาวเทียม ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นภาควิชาจึงสนับสนุนให้นักศึกษาพัฒนาซอฟต์แวร์แสดงตำแหน่งสำหรับติดตั้งลงบนพีดีเอโฟน ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่โทรศัพท์ได้ในตัว เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม

ปกติบริษัทขนส่งสินค้าจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้พนักงานขับรถอยู่แล้ว และปัจจุบันราคาโทรศัพท์มือถือกับพีดีเอโฟนไม่ได้ต่างกันมากนัก ถ้าบริษัทเปลี่ยนมาใช้พีดีเอโฟนที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ชนิดนี้ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสามารถรักษาความปลอดภัยให้สินค้าในระหว่างการขนส่งได้มากขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ซอฟต์แวร์เพื่อคนพิการ

เนคเทคขนผลงานโชว์มหกรรมเทคโนโลยีรวบรวมซอฟต์แวร์เพื่อคนพิการเข้าถึงไอที

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ดึงคนรุ่นใหม่แข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคม จับมือสมาคมคนตาบอดตั้งโจทย์ใหม่พัฒนาซอฟต์แวร์ตรงใจผู้ใช้

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า เนคเทคกำหนดจัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ โดยรวมเอาการประกวดเทคโนโลยีไอทีย่อยๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ภายในศูนย์มารวมกันไว้ในงานเดียว

“งานประกวดเทคโนโลยีไอทีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้นักเขียนซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสังคม จะเห็นได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านไอที มักมีอายุน้อยลง หรือไม่เกิน 30 ปี“ ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าว

มหกรรมการประกวดที่จัดขึ้นในครั้งนี้เป็นการเฟ้นหาผลงานที่น่าสนใจจากกลุ่มนักนักเรียน นักศึกษา ทั่วประเทศ ตลอด 1 ปี โดยมีผลงานที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ จำนวน 281 ผลงาน

ที่ผ่านมา เนคเทคได้พัฒนาโปรแกรมและอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้พิการใช้งานคอมพิวเตอร์ได้สะดวกขึ้น และในงานครั้งนี้ได้นำเอาผลงานการพัฒนาโปรแกรมสำหรับผู้พิการมาจัดแสดงด้วย ขณะเดียวกัน สมาคมคนตาบอดแห่งชาติได้ให้ข้อเสนอแนะแก่นักวิจัยเนคเทคในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ตรงกับความต้องการของผู้พิการมากขึ้น

ดร.กว้าน สีตะธนี ประธานจัดงาน กล่าวว่า คนตาบอดมีความสามารถในการใช้งานแป้นพิมพ์และเมาส์ ตลอดจนมีความจำที่ยอดเยี่ยม ความต้องการที่แท้จริงของผู้พิการคือโปรแกรมที่เข้ามาช่วยในการสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยสมาคมคนตาบอดพร้อมที่จะสนับสนุนในการพัฒนาโปรแกรมดังกล่าว

การจัดงานประกวดเทคโนโลยีไอทีได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นความสนใจของเยาวชนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตลอดจนมีผลงานบางชิ้นที่ได้รับการต่อยอดจากภาคเอกชน และการผันตัวเองของเจ้าของผลงานในการตั้งบริษัทใหม่

นอกจากนี้ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากมหกรรมดังกล่าวในปีที่ผ่านมาหลายชิ้น ได้รับรางวัลในระดับโลก อาทิ รางวัลด้านไอซีที ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากรายการเอเชีย แปซิฟิก อะวอร์ด 2006 รางวัลชนะเลิศจากโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลกในงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมนานาชาติของอินเทล

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

คอมเวิลด์

"คอมเวิลด์" งานไอทีปีหมูไฟ

คอมเวิลด์ ไทยแลนด์ 2007 ชิงเปิดงานมหกรรมไอทีรับปีกุนก่อนใคร ประกาศโชว์เทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ที่เหมาะกับผู้ซื้อ ไม่เน้นตลาดนัดขายของ แต่แอบคาดยอดขายทะลัก 900 ล้านบาท

บริษัท ดิแอสไพเรอร์ส กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตนิตยสารคอมพิวเตอร์และผู้จัดงานนิทรรศการไอที เทคโนโลยีชั้นนำประกาศจัดงาน “คอมเวิลด์ ไทยแลนด์ 2007” นำนวัตกรรมไอทีระดับไฮโซมาเปิดตัวพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น ลำโพงเจบีแอลที่ราคาแพงเทียบรถหรูสำหรับคนฟังหูเทวดา ซีพียูอินเทล "ควอด คอร์" ที่ว่ากันว่าแรงกว่า คอร์ดูโอ สำหรับคนทำงานวิจัยและหนังแอนิเมชั่น

วิโรจน์ อัศวรังสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดิแอสไพเรอร์ส กรุ๊ป พูดถึงรูปแบบงานว่า คอมเวิลด์ ไทยแลนด์ 2007 ไม่ใช่งานแสดงเทคโนโลยีไอทีที่ไกลตัว และไม่ใช่ตลาดนัดไอที แต่มุ่งนำเสนอเทคโนโลยีที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมสินค้ารุ่นพิเศษในราคาที่สุดพิเศษ สินค้าหลายรุ่นที่ยังไม่มีในประเทศไทยมาก่อน และจะนำมาเปิดโอกาสให้ชาวไทยได้จับจองเป็นเจ้าของในงานนี้

มหกรรมไอทีดังกล่าวจัดระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ผู้จัดได้สร้างจุดเด่นโดยนำสินค้าที่มีตัวเดียวอันเดียวในโลก เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์สีที่ใหญ่ที่สุดตัวแรกของโลก โน้ตบุ๊ค 1 ใน 17 ตัวของโลกที่มีลายเซ็นของโรนัลดินโญ่ นักฟุตบอลแข้งทอง และมีเพียงตัวเดียวในประเทศไทย นำมาประมูลในงานด้วย

นอกจากนี้ ยังมีโน้ตบุ๊คจากเอ็มเอสไอ ที่ประดับด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ของแท้ 120 เม็ด โน้ตบุ๊คจากอะซุสที่รองรับคุณสมบัติด้านความบันเทิง ของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้า และโน้ตบุ๊คที่ผลิตมาเพื่อรองรับโปรแกรมการเล่นเกมโดยเฉพาะ

งานนี้คอเกมยังมีโอกาสสัมผัสกับเกมแข่งรถสุดมัน "นีดฟอร์สปีด" ที่ครองใจวัยรุ่น พร้อมทดลองขับในระบบจำลองเสมือนจริง เพื่อค้นหาผู้ที่เร็วสุดยอด โดยทีมผู้จัดงานคาดว่า จะมีผู้ข้าชมงานประมาณ 6 แสนคน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ประกวดผลงานด้านไอทีฝีมือเด็กไทย

ประกวดผลงานด้านไอทีฝีมือเด็กไทยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6 ที่ไอส์แลนด์ฮอล ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ รามอินทรา ระหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. นี้ เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยนำเสนอผลงานที่พัฒนาจากความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอที) เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงความเป็นเลิศของประเทศไทย เพื่อคัดเลือกตัวแทนของประเทศไปสู่เวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ เป็นการแสดงศักยภาพของเยาวชนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนเกิดการตื่นตัว ให้ความสนใจในเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากขึ้น

สำหรับกิจกรรมการแข่งขันประกอบด้วยการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 9 ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี การประกวดโครงการของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อสรรหาตัวแทนประเทศไทยไปชิงชัยในงาน Intel International Science and Engineering Fair (intel ISEF) ที่สหรัฐอเมริกา การแข่งขันระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ และการแข่งขันประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 5สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาศักยภาพเยาวชนด้านไอซีที-[FIC] โทร. 02-564-6900 ต่อ 2327, 2345 หรือ www.nectec.or.th/fic/

ที่มา: http://www.matichon.co.th/
Link: http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03you02290150&day=2007/01/29§ionid=0333

Saturday, January 27, 2007

ตอร์ปิโดอวกาศยักษ์

ให้สร้างยาน "ตอร์ปิโดอวกาศยักษ์" เตรียมรับดาว เคราะห์น้อยพุ่งมาชน

มนุษย์อวกาศสหรัฐฯผู้เคยเป็นนักฟิสิกส์ดวงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยฮาไวอี เสนอให้มีการสร้าง “ตอร์ปิโดอวกาศ” ขึ้น เพื่อเตรียมไว้รับมือกับดาวเคราะห์น้อย ที่อาจจะทะยานเข้ามาเฉียดใกล้โลก

ยานอวกาศ “ตอร์ปิโดอวกาศ” จะเหมือนกับเป็นรถแทรกเตอร์อวกาศ ต้องใช้งบสูงระหว่าง 7,400 -8,100 ล้านบาท จะถูกส่งให้ทะยานไปประกบดาวหินยักษ์ เพื่อใช้แรงดึงดูดผลักดันมันให้เหออกจากวิถีโคจร จะได้ไม่มาโดนโลก “เราแค่เพียงแต่พยายามชะลอความเร็วของมันลงให้ได้นิด หน่อยเท่านั้น ก็จะป้องกันไม่ให้มันมาชนโลกได้”

อย่างไรก็ตาม เขากับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่า โลกมีโอกาสที่จะโดนชนแบบนี้น้อยมากๆ เท่าๆ กับการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ คลื่นยักษ์สึนามิ และพายุเฮอริเคน แต่ก่อนหน้านี้ได้มีการคาดหมายไว้ว่า ดาวเคราะห์น้อย “อะป๊อปฟิส” จะพุ่งมาเฉียดห่างจากโลกประมาณ 32,000 กม. ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2572 นี้

นักดาราศาสตร์เดวิด โทเลน ผู้ค้นพบดาวหางดวงนี้ กล่าวว่า “มันอาจจะเข้าใกล้โลกมากในปีนั้น หรืออาจจะเปลี่ยนเส้นทางโคจรไป จนอาจจะย้อนกลับมาชนโลกเข้าอีกในปี พ.ศ.2579 ได้ แต่อาจจะตรวจสอบวิถีโคจรของมันให้แน่นอนขึ้นกว่านี้ด้วยเรดาร์ได้อีก เมื่อมันโคจรผ่านใกล้ดวงอาทิตย์เที่ยวใหม่ ในปี พ.ศ.2556 นี้”.

ที่มา: http://www.thairath.co.th
Link: http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=34828

Friday, January 26, 2007

เตรียมเดินเครื่อง “ธีออส”

เตรียมเดินเครื่อง “ธีออส” สิ้นปีนี้ เพิ่มภารกิจสอดส่องปัญหาไฟใต้

กระทรวงวิทย์ขานรับใช้ภาพถ่ายดาวเทียมธีออสตรวจดูความไม่สงบในภาคใต้ หลังการก่อสร้างเป็นไปตามแผนทุกประการและใกล้จะแล้วเสร็จ ชี้เตรียมส่งขึ้นสู่วงโคจร ต.ค.นี้ ณ ประเทศคาซัคสถาน

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) จัดงานแถลงข่าวดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของประเทศไทย หรือ ดาวเทียมธีออส ขึ้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธาน

ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวถึงกำหนดการปล่อยดาวเทียมธีออส ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างแบบการค้าต่างตอบแทนพืชผลการเกษตรของไทยกับประเทศฝรั่งเศส โดยมีกำหนดปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในราวเดือน ต.ค.50 ว่า ได้เลือกสถานที่ปล่อยดาวเทียมแล้ว ณ เมืองไบโคนัวร์ ประเทศคาซัคสถาน โดยดาวเทียมดังกล่าวจะมีอายุการใช้งานขั้นต่ำสุด 5 ปี เช่นเดียวกับดาวเทียมในลักษณะเดียวกันดวงอื่นๆ แต่ก็เชื่อว่าจะยืดอายุการใช้งานให้นานถึง 10 ปีหรือมากกว่านั้นได้ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาหลังการใช้งาน 5 ปีเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่มากนัก

ด้านความคุ้มค่าของการลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท ศ.ดร.ยงยุทธ ชี้ว่า เป็นประเด็นที่สำคัญมาก เนื่องจากอายุการใช้งานที่สั้นมาก โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะใช้ประโยชน์จากดาวเทียมธีอออสในด้านการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ อาทิ ป่าไม้ น้ำ พื้นที่การเกษตร และการประมง ซึ่งจะต้องร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยจัดทำระบบและซอฟต์แวร์การใช้งานขึ้น โดยเชื่อว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะสามารถนำไปปรับใช้กับการบริหารงานภาพถ่ายดาวเทียมดวงอื่นๆ ของโลกได้ด้วย รวมไปถึงการใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมธีออสไปประกอบกับภาพถ่ายภาคพื้นดินเพื่อใช้บริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ส่วนการนำภาพถ่ายดาวเทียมธีออสเพื่อกิจการความมั่นคงของประเทศนั้น ศ.ดร.ยงยุทธ ตอบรับว่า สามารถนำไปใช้ได้อย่างแน่นอน และเป็นเรื่องที่ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการตรวจดูทางท้องทะเล ซึ่งเมื่อนำภาพถ่ายดาวทียมมาประกอบกับข้อมูลภาคพื้นน้ำแล้วจะทำให้เห็นท้องทะเลและเรือต่างๆ ได้ชัดเจนมาก เช่น เรือที่มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร รวมทั้งเรือโจรสลัด หรือแม้แต่เรือประมงหาปลาที่ไปหาปลาในบริเวณที่ไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ทั้งนั้น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยด้วยว่า เนื่องจากเทคโนโลยีอวกาศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจะต้องพิจารณาการสร้างดาวเทียมดวงต่อๆ ไปด้วย โดยทีมวิศวกรไทยทั้ง 21 คนที่ได้รับการอบรมด้านเทคโนโลยีอวกาศจากประเทศฝรั่งเศสจะสามารถให้คำแนะนำในการออกแบบและก่อสร้างดาวเทียมดวงต่อไปของประเทศไทยได้ ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนแล้วว่าจะต้องสร้างดาวเทียมดวงใหม่ที่เป็นการทำงานของคนไทยเองมากกว่าครึ่งหรือมากกว่านั้น

ด้าน ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวเสริมถึงการใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายดาวเทียมด้วยว่า เวลานี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังได้ประสานไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้องแล้ว อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าวไปใช้ประโยชน์

ทั้งนี้ โดยการเชิญเข้าร่วมฝึกอบรมและพัฒนาซอฟต์แวร์ภาพถ่ายดาวเทียม และการจัดทำโครงการนำร่องใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในสาขาต่างๆ เช่น ด้านการเกษตร ป่าไม้ แหล่งน้ำ และการทำแผนที่ ตลอดจนถึงการประสานไปยังองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ช่วยเผยแพร่ศักยภาพและการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายดาวเทียมของประเทศไทย โดยเฉพาะข้อมูลในด้านบุคลากรของไทยที่มีขีดความสามารถขั้นสูงสู่สังคมทุกระดับ ตั้งแต่เยาวชนจนถึงประชาชนทั่วไป

“รัฐบาลยังได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้บูรณาการแผนที่และจัดทำฐานข้อมูลที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และสึนามิด้วย โดยไม่เพียงแต่หน่วยงานราชการไทยเท่านั้นที่จะได้ใช้ประโยชน์ แต่ยังรวมถึงภาคเอกชน และประเทศเพื่อนบ้านของไทยในภูมิอาเซียนที่มีความร่วมมือกันด้วย” ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

ขณะที่ พล.ท.ดร.วิชิต สารทรานนท์ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. เจ้าของโครงการดาวเทียมธีออส กล่าวถึงความคืบหน้าล่าสุดของโครงการว่าเป็นไปตามแผนทุกประการ งานก่อสร้างต่างๆ ได้ดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นแล้วทั้งสถานีรับสัญญาณดาวเทียม เขตลาดกระบัง และสถานีควบคุมดาวเทียม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยในส่วนของตัวดาวเทียมนั้นเหลือเพียงการทดสอบเชิงกลศาสตร์เท่านั้น เช่น การทดสอบแรงเสียดทาน ความร้อน และแรงกดดัน เป็นต้น

ทั้งนี้ ประธานกรรมการบริหาร สทอภ.ยังบอกด้วยว่า หลังจากปล่อยดาวเทียมธีออสขึ้นสู่วงโคจรแล้ว จะใช้เวลาตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ ประมาณ 3 เดือน จึงจะเริ่มปฏิบัติงานได้เต็มประสิทธิภาพ หรือภายในสิ้นปี 50 นี้ โดยบริษัทคู่สัญญาของไทยคือ อีเอดีเอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ในชื่อใหม่คือ แอสเตรียม เอส.เอ.เอส. (Astrium S.A.S.) จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการปล่อยยานทั้งหมด 600 ล้านบาท โดยใช้จรวด “เน็ปเปอร์” (DNEPR) ของประเทศยูเครน เป็นจรวดนำส่ง

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000010272

รถเข็นไฟฟ้าสั่งงานด้วยเสียง

สุรนารีโชว์รถเข็นไฟฟ้าสั่งงานด้วยเสียง

สุรนารีประดิษฐ์รถเข็นขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพื่อคนพิการที่รับคำสั่งด้วยเสียงพูด ให้เดินหน้าถอยหลัง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาได้ดั่งใจ แทนวิธีกดปุ่ม หรือบังคับคันโยก ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น

สุดแดน แซ่หลิน นักศึกษาปีที่ 3 จากสำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า ร่วมกับทีมนักศึกษาปรับปรุงรถเข็นคนพิการจากแบบธรรมดามาเป็นรถไฟฟ้าที่บังคับทิศทางและการเคลื่อนที่ด้วยเสียง เพื่อช่วยให้คนชรา และคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สามารถใช้งานได้สะดวกขึ้นกว่ารถเข็นแบบทั่วไปที่มีข้อจำกัด

รถเข็นคันต้นแบบนี้ได้ติดตั้งมอเตอร์ขับเคลื่อนโซ่ที่ต่อกับเฟืองล้อ โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ขณะเดียวกันได้นำโปรแกรมจดจำเสียง ซึ่งเป็นโปรแกรมที่นักศึกษารุ่นก่อนได้พัฒนามาใช้ต่อเชื่อมกับแผงวงจรไอซีสำหรับบันทึกเสียงผู้ใช้ ชุดอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถเก็บเสียงได้มากกว่า 20 เสียง หรือหมายความว่ารถเข็น 1 คันสามารถมีเจ้าของได้หลายคน

"ในการบันทึกเสียงต้องบันทึกในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบ ข้อมูลเสียงที่อยู่ในแผงวงจรไอซีจะส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ใช้ควบคุมแผงควบคุมอิเล็กทรอนิสก์สำหรับสั่งให้รถเข็นเคลื่อนที่ตามคำสั่งเสียง

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เดินหน้างานนิวเคลียร์

"ยงยุทธ" เดินหน้างานนิวเคลียร์สร้างโรงไฟฟ้า-เตาปฏิกรณ์เครื่องใหม่

ยงยุทธ มอบนโยบายรังสีนิวเคลียร์ ระบุ สถาบันนิวเคลียร์ฯ รับหน้าที่วางแนวทางดึงภาคอุตสาหกรรมนำรังสีมาใช้งาน พร้อมหาแนวทางสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และเตาปฏิกรณ์เครื่องใหม่ ส่วน ปส.รับบท “ผู้คุม”ตรวจสอบงานนิวเคลียร์ในประเทศ แต่พบปัญหางบประมาณ ไร้เครื่องมือทำงาน

ภายหลังตรวจเยี่ยมการทำงานของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ณ อ.คลองห้า จ.ปทุมธานี และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ หรือ ปส.บางเขน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า ได้มีการมอบหมายนโยบายสำคัญให้ทั้ง 2 หน่วยงานได้นำไปปรับใช้กับการดำเนินงานในหลายด้านด้วยกัน

สำหรับยุทธศาสตร์ที่มอบหมายให้ สทน. รับไปดำเนินการได้แก่ ยุทธศาสตร์การใช้งานเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะการนำรังสีนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ อาทิ การใช้รังสีกับการอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมอัญมณี และการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีเอกชนหลายรายได้นำไปใช้ประโยชน์บ้างแล้ว ส่วนระยะต่อไปต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาสนใจรับหน้าที่ดังกล่าวแทนภาครัฐ ซึ่งจะเหมาะสมกว่า แต่เนื่องจากเป็นงานที่ต้องอาศัยการลงทุนหลายร้อยล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่ต้องกำชับ สทน.ให้วางแผนการทำงานที่ชัดเจนว่าภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันได้อย่างไร

ทั้งนี้ ในส่วนของการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์นี้ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า ยังรวมถึงการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของประเทศ เพื่อทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่น้อย และประเทศไทยไม่มีแหล่งเชื้อเพลิงมากเพียงนัก ซึ่งในหลายประเทศต่างตื่นตัวในเรื่องนี้กันมากแล้ว อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และโดยเฉพาะจีนที่เร็วๆ นี้จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 40 โรงทั่วประเทศ จึงเป็นประเด็นที่ประเทศไทยจะต้องหยิบมาพิจารณาด้วยเช่นกัน โดยกำชับให้ สทน.และ ปส.ได้ศึกษาแนวทางและโอกาสร่วมกันถึงความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้เป็นแหล่งพลังงานในอนาคต

ส่วนอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่ ศ.ดร.ยงยุทธ ได้มอบหมายให้แก่ สทน.คือ การหาแนวทางสร้างเตาปฏิกรณ์ปรมาณูเครื่องใหม่ทดแทนเครื่องเก่าที่ ปส.บางเขน ซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้วแต่ยังคงใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเหลือเชื้อเพลิงใช้ได้อีกราว 2 ปีเท่านั้น หากหมดแล้วก็ต้องสั่งซื้อเข้ามาเพิ่ม จึงสมควรที่จะมีเครื่องใหม่มาใช้งาน เนื่องจากประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้งานเครื่องปฏิกรณ์ในการผลิตรังสีทดแทนการนำเข้า ซึ่งรังสีต่างๆ มีอายุการใช้งานสั้น หากผ่านกระบวนการตรวจสอบก่อนนำเข้านานเกินไป รังสีนั้นๆ ก็จะใช้การไม่ได้

ขณะที่นโยบายสำคัญที่มอบหมายให้ ปส.ซึ่งมีหน้าที่การกำกับ ตรวจสอบ และดูแลการใช้รังสีนิวเคลียร์ให้มีความปลอดภัยในประเทศได้ดำเนินการต่อไป ได้แก่ การกำกับตรวจสอบและเฝ้าระวังที่มีความเข้มงวดชัดเจน ทว่า เมื่อแยก สทน.ออกจาก ปส.แล้ว อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการกำกับดูแลในส่วนนี้ส่วนใหญ่ก็ถูกโอนย้ายไปยัง สทน.ด้วย ขณะที่ ปส.เองกลับติดปัญหาการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เอื้อต่อการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ มาทดแทน ทำให้อาจส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยในส่วนนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะได้ชี้แจงกับสำนักงานงบประมาณได้เข้าใจปัญหาดังกล่าวด้วย

ส่วนอีกเรื่องที่ ปส.ต้องดำเนินการคือ การปฏิบัติหน้าที่ในบทบาทภาคีความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติที่จะดูแลสอดส่องไม่ให้มีการค้าขายอุปกรณ์หรือวัสดุที่นำไปสู่การผลิตอาวุธนิวเคลียร์ภายในประเทศได้ ที่เห็นควรว่าจะต้องปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009965

ซอฟต์แวร์เพื่อคนพิการ

เนคเทคขนผลงานโชว์มหกรรมเทคโนโลยีรวบรวมซอฟต์แวร์เพื่อคนพิการเข้าถึงไอที

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ดึงคนรุ่นใหม่แข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคม จับมือสมาคมคนตาบอดตั้งโจทย์ใหม่พัฒนาซอฟต์แวร์ตรงใจผู้ใช้
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า เนคเทคกำหนดจัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ โดยรวมเอาการประกวดเทคโนโลยีไอทีย่อยๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ภายในศูนย์มารวมกันไว้ในงานเดียว

“งานประกวดเทคโนโลยีไอทีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้นักเขียนซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสังคม จะเห็นได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านไอที มักมีอายุน้อยลง หรือไม่เกิน 30 ปี“ ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าว

มหกรรมการประกวดที่จัดขึ้นในครั้งนี้เป็นการเฟ้นหาผลงานที่น่าสนใจจากกลุ่มนักนักเรียน นักศึกษา ทั่วประเทศ ตลอด 1 ปี โดยมีผลงานที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ จำนวน 281 ผลงาน

ที่ผ่านมา เนคเทคได้พัฒนาโปรแกรมและอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้พิการใช้งานคอมพิวเตอร์ได้สะดวกขึ้น และในงานครั้งนี้ได้นำเอาผลงานการพัฒนาโปรแกรมสำหรับผู้พิการมาจัดแสดงด้วย ขณะเดียวกัน สมาคมคนตาบอดแห่งชาติได้ให้ข้อเสนอแนะแก่นักวิจัยเนคเทคในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ตรงกับความต้องการของผู้พิการมากขึ้น

ดร.กว้าน สีตะธนี ประธานจัดงาน กล่าวว่า คนตาบอดมีความสามารถในการใช้งานแป้นพิมพ์และเมาส์ ตลอดจนมีความจำที่ยอดเยี่ยม ความต้องการที่แท้จริงของผู้พิการคือโปรแกรมที่เข้ามาช่วยในการสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยสมาคมคนตาบอดพร้อมที่จะสนับสนุนในการพัฒนาโปรแกรมดังกล่าว

การจัดงานประกวดเทคโนโลยีไอทีได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นความสนใจของเยาวชนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตลอดจนมีผลงานบางชิ้นที่ได้รับการต่อยอดจากภาคเอกชน และการผันตัวเองของเจ้าของผลงานในการตั้งบริษัทใหม่

นอกจากนี้ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากมหกรรมดังกล่าวในปีที่ผ่านมาหลายชิ้น ได้รับรางวัลในระดับโลก อาทิ รางวัลด้านไอซีที ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากรายการเอเชีย แปซิฟิก อะวอร์ด 2006 รางวัลชนะเลิศจากโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลกในงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมนานาชาติของอินเทล

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Thursday, January 25, 2007

สัญญาณอลวน

นักวิจัยลาดกระบังใช้ “สัญญาณอลวน” ป้องกันดักฟังโทรศัพท์

นักวิจัยลาดกระบังประยุกต์ใช้ “สัญญาณอลวน” ป้องกันดักโทรศัพท์ โดยติดตัวกวนสัญญาณที่ต้นทางก่อนจะถอดรหัสที่ปลายทาง เผยเป็นผลพลอยได้จากทำหุ่นยนต์ตรวจระเบิด มั่นใจสิงคโปร์ถอดรหัสไม่ได้ แต่ยังต้องพัฒนาต่อไป คาดใช้เวลาอีกเป็นปีจึงจะใช้ได้จริง

รศ.ดร.ปิติเขต สู้รักษา ภาควิชาวิศวกรรมสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เผยอุปกรณ์ป้องกันการดักฟังโทรศัพท์ที่ส่ง “สัญญาณอลวน” หรือสัญญาณเคออสติก (Chaostic) เข้าร่วมกับสัญญาณเสียงจากต้นสายทำให้ไม่สามารถรับฟัง นอกจากต่ออุปกรณ์ถอดรหัสที่ผลิตมาคู่กันเข้ากับโทรศัพท์ปลายสาย ซึ่งใช้ได้กับโทรศัพท์บ้าน แต่ยังต้องพัฒนาอุปกรณ์ให้เหมาะที่จะใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นผลพลอยได้จากการพัฒนาหุ่นยนต์ตรวจหาระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินซึ่งต้องอาศัยหลักการเคออสติกเช่นกัน

“หลักการอลวน คือแค่ค่าเงื่อนไขเริ่มต้นเปลี่ยนนิดเดียวผลสุดท้ายก็เปลี่ยนไปเยอะจนไม่สามารถทำนายได้ เทคโนโลยีการป้องกันการดักฟังนี้ได้มาจากโครงการทำหุ่นยนต์ที่จะให้วิ่งไปบนบริเวณที่มีระเบิดฝัง เป็นเส้นทางอลวนที่ไม่ซ้ำที่ ซึ่งตัววงจรสัญญาณอลวนนี้สามารถถอดได้และนำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ป้องกันนี้การดักฟังนี้ได้” รศ.ดร.ปิติเขตกล่าว

รศ.ดร.ปิติเขตกล่าวอีกว่าเทคโนโลยีการป้องกันการดักฟังโทรศัพท์แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับเชิงพาณิชย์ซึ่งอาจจะซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศเข้ามาได้และเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สูงมาก โดยทั่วไปจะเครื่องมือป้องกันที่เรียกว่า “วอยซ์ สแกมเบิล” (Voice Scramble) เป็นอุปกรณ์ที่เปรียบเสมือนสับปลาออกเป็นท่อนแล้วสลับที่กัน โดยนำสัญญาณเสียงมาแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าแล้วสลับที่สัญญาณทำให้ลำดับเสียงต่างไปจากเดิม เช่น “เจอกันที่พารากอน” ก็เป็น “พาราเจอกอนที่กัน” เป็นต้น แต่การป้องกันดังกล่าวก็ยังพอเดาคำพูดได้ และนักคณิตศาสตร์เก่งๆ ใช้เวลาเพียง 1 นาทีก็สามารถถอดรหัสได้

ส่วนอีกระดับคือเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งบางประเทศถือว่าเป็น “ยุทธปัจจัย” และไม่อนุญาตให้นำออกไปใช้นอกประเทศ ซึ่ง รศ.ดร.ปิติเขต กล่าวว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะใช้การเข้ารหัสที่ค่อนข้างยาก การใช้สัญญาณอลวนก็เป็นเทคโนโลยีประเภทนี้ ซึ่งจะถอดรหัสได้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน

สำหรับอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาเขาเชื่อว่าจะป้องกันการดักฟังโทรศัพท์ได้ และคาดว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 วันที่จะถอดรหัสได้ แต่ทั้งนี้เขายังไม่ได้นำไปให้นักถอดรหัสที่เก่งๆ ทดลองถอดรหัสจึงยังตอบไม่ได้ว่าจะต้องเวลานานเท่าใด เนื่องจากที่ผ่านมาก็ยังไม่มีใครถอดรหัสได้

ทางด้าน นายกฤดากร กล่อมการ นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำวิจัยร่วมกับ รศ.ดร.ปิติเขต และเป็นผู้พัฒนาในส่วนของสัญญาณอลวน กล่าวว่าศึกษาเรื่องสัญญาณอลวนมาประมาณ 5 ปี ทั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะพัฒนาเครื่องป้องกันการดักฟังโทรศัพท์ หากแต่เป็นผลพลอยได้ ซึ่งมั่นใจว่าจะรักษาความลับจากสิงคโปร์ได้เพราะได้ร่วมทำวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกว่านักวิจัยสิงคโปร์โดยวัดจากผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติ แต่ทั้งนี้ยังต้องพัฒนาอุปกรณ์ต่อไปโดยคาดว่าจะใช้เป็นปีจึงจะนำไปใช้งานได้จริง

นายกฤดากรกล่าวอีกว่าวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอุปกรณ์ชิ้นนี้มุ่งหวังที่จะนำไปใช้ในด้านความมั่นคง จึงจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาเครื่องป้องกันการดักฟังโทรศัพท์โดยคนไทยเอง เนื่องจากถือเป็นยุทธปัจจัยหนึ่งที่หากประเทศอื่นรู้วิธีเข้ารหัสก็จะสามารถถอดรหัสได้ เช่นเดียวกับการซื้อกุญแจมาล็อกบ้านคงไม่ซื้อกุญแจจากคนที่ทราบกลไกการไขกุญแจ

สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยนักวิจัยทั้ง 2 คนกำลังขอสิทธิบัตรสำหรับเครื่องป้องกันการดักฟังโทรศัพท์นี้จาก 130 ประเทศ ส่วนจะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่นั้น นายกฤดากรให้ความเห็นว่าต้องได้รับการสนับสนุนให้ผลิต 10 ล้านชิ้นขึ้นไปจึงจะได้อุปกรณ์ที่ต้นทุนถูกพอที่จะจำหน่ายในเชิงพาณิชย์

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009706

ราวตากผ้า 3 ฤดู

โครงงานวิทยาศาสตร์ราวตากผ้า 3 ฤดู
25 January 2007

โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ทุกขั้นตอน ได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ และช่วยพัฒนาคุณสมบัติอื่น ๆ ให้แก่นักเรียน เช่น ความเป็นคนช่างสังเกต มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และเชื่อมั่นในตนเอง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้เป็นผู้ริเริ่ม ผลักดัน ส่งเสริมให้สถานศึกษาดำเนินการตามแนวคิดนี้มาโดยตลอด

โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง "ราวตากผ้า 3 ฤดู" เป็นอีกหนึ่งโครงงานที่นักเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นโรงเรียนแกนนำวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีของ สสวท. ได้ลงมือสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง

เด็กชายชนินทร์ เมืองซื่อ เด็กหญิงกัญญาณัฐ พรหมเผ่า และเด็กหญิงเจียระไน เพียรทำ ชั้น ม. 3/6 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม บอกว่า ปัญหาของผ้าที่ตากไว้ในแต่ละฤดู จะประสบปัญหาแตกต่างกัน เช่น ฤดูร้อนฝุ่นมากและแดดแรงทำให้ผ้าที่ตากสีซีด ฤดูฝนผ้าที่ตากไว้จะเปียกฝนเมื่อเก็บไม่ทันและแห้งช้า ส่วนฤดูหนาวจะมีทั้งฝุ่นและละอองน้ำค้าง การตากและเก็บผ้าก็ยุ่งยาก จึงได้คิดประดิษฐ์ราวตากผ้า 3 ฤดูราคาถูกขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

สมมติฐานและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้ก็คือ ถ้าสภาวะเรือนกระจกสามารถทำให้อุณหภูมิของอากาศสูงขึ้น ดังนั้น ราวตากผ้า 3 ฤดูจะทำให้ผ้าแห้งเร็ว ป้องกันฝุ่นละออง ฝน และไม่ให้ผ้าสีซีดได้

หลักการก็คือ พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และหลักการทางฟิสิกส์ก็คือการสะท้อนแสง การกักเก็บความร้อนในรูปสภาวะเรือนกระจก และการพาความร้อน โดยได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ สภาวะเรือนกระจก ความชื้นและชนิดของผ้าเพิ่มเติมด้วย

ราวตากผ้า 3 ฤดู เป็นราวตากผ้าที่สร้างจากเหล็ก และพลาสติกใส โดยมีฐานเป็นรูปกากบาท เคลื่อนย้ายด้วยล้อ 4 ล้อ แกนกลางทำจากเหล็ก สามารถหมุนได้รอบทิศ มีราวตากผ้า 5 ราว สามารถถอดประกอบออกจากกันได้ มีพลาสติกใสคลุมเพื่อเพิ่มอุณหภูมิภายในราวตากผ้า และเตาไฟฟ้าสำหรับทำให้ผ้าแห้งเร็วโดยไม่มีกลิ่น

ด้านบนคลุมด้วยพลาสติกใสรูปห้าแฉก และด้านข้างคลุมด้วยพลาสติกใสรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 5 ผืน ปลายแผ่นพลาสติกร้อยโซ่เหล็กถ่วงไว้เพื่อป้องกันลมพัด ด้านล่างละด้านบนมีช่องระบายอากาศเพื่อให้อากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น และอากาศเย็นมาแทนที่ทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น โดยอากาศภายในมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศภายนอก

ขั้นตอนการทำงานเริ่มจาก ออกแบบราวตากผ้า 3 ฤดู ศึกษาข้อมูลและสร้างแบบจำลอง จากนั้นก็ลงมือสร้างราวตากผ้า 3 ฤดู ตั้งแต่ฐานราวตากผ้า แกนกลางราวตากผ้า แขนของราวตากผ้า พลาสติกคลุมราวตากผ้า ด้านบนและด้านข้าง เมื่อสร้างราวตากผ้า 3 ฤดูเสร็จแล้ว ก็นำไปทดลองใช้ในฤดูร้อน โดยใช้เสื้อผ้าแต่ละชนิด จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย กางเกงยีน กระโปรงผ้าไหม ผ้ายืดสีเหลือง ผ้าพื้นเมืองม่อฮ่อม ผ้าป่าน ผ้าลินิน ผ้าไนลอน ผ้าใยสังเคราะห์ และผ้าขนหนูที่มีขนาดและเบอร์เดียวกันมาชุบน้ำให้เปียก ปั่นแห้งในเครื่องซักผ้าเดียวกัน เวลานาน 22 นาที มาตากในบริเวณเดียวกัน จับเวลาการแห้งของผ้าแต่ละชนิด และอุณหภูมิของอากาศภายในและภายนอก แล้วสังเกตและบันทึกผล

จากนั้น นำราวตากผ้า 3 ฤดู ไปทดลองใช้ในฤดูฝน และฤดูหนาว โดยใช้เสื้อผ้าแต่ละชนิด จำนวน 2 ชุด ที่มีขนาดและเบอร์เดียวกันมาชุบน้ำให้เปียก ปั่นแห้งในเครื่องซักผ้าเดียวกัน เวลานาน 22 นาที มาตากในบริเวณเดียวดัน จับเวลาการแห้งของผ้าแต่ละชนิด และอุณหภูมิของอากาศภายในและภายนอก แล้วสังเกตและบันทึกผล

พบว่า ราวตากผ้า 3 ฤดู ทำให้ผ้าแห้งเร็วกว่าการตากตามปกติ เมื่อเวลาฝนตก ผ้าไม่เปียก ไม่มีฝุ่นจับเสื้อผ้า เมื่อวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีแสงแดดติดต่อกันหลาย ๆ วันแล้ว ผ้าไม่แห้ง ราวตากผ้านี้ช่วยแก้ปัญหาได้โดยการทำให้ปริมาตรของอากาศในราวตากผ้าลดลง โดยใช้พลาสติกคลุมด้านข้างเพียง 3 ผืน และเปิดเตาไฟฟ้า จำนวน 2 ตัว เพื่อเพิ่มความร้อน จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผ้าไม่แห้งอีกต่อไป

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
Link: http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=150635

อะตอมก๊าซ

มช.ใช้อะตอมก๊าซเพิ่มค่าผ้าไหมไทย

นักวิจัยเชียงใหม่ประยุกต์เทคโนโลยีพลาสมา ใช้พัฒนาคุณภาพผ้าไหมไทย เพิ่มคุณลักษณะพิเศษ 3 ประการ ทั้งกันเปียก ดูดซับน้ำและเปื้อนยาก รองรับการใช้งานหลากหลายประเภท
ดร.ประดุง สวนพุฒ หัวหน้าโครงการวิจัยเทคโนโลยีพลาสมาสำหรับการปรับปรุงคุณภาพไหมไทย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า โครงการได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ศึกษาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาในอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย เพื่อปรุงคุณภาพผิวของสิ่งทอให้มีคุณสมบัติดีขึ้น
โครงการวิจัยจะใช้เทคโนโลยีพลาสมาระดับอุณหภูมิต่ำ เพิ่มคุณลักษณะพิเศษ 3 ประเภทให้กับเส้นใยสิ่งทอ ได้แก่ การดูดซับน้ำได้ยาก การดูดซับน้ำได้ง่ายและการเปื้อนยาก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สิ่งทอผ้าไหมของไทย
ทั้งนี้ พลาสมาเป็นสถานะที่สี่ของสสาร ที่นอกเหนือจากสถานะของแข็ง ของเหลวและก๊าซ ขณะที่สถานะของพลาสมาถือเป็นกลุ่มอะตอม หรือโมเลกุลของก๊าซที่อยู่ร่วมกันกับอิเล็กตรอนและไอออน ส่วนการปรับปรุงคุณภาพผิวของสิ่งทอโดยพลาสมาคือ การนำสิ่งทอไปอาบหรือจุ่มในพลาสมา ณ อุณหภูมิต่ำ เพื่อให้อนุภาคต่างๆ ในพลาสมาไปเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติเชิงผิวของเส้นใยของสิ่งทอ
เส้นใยสิ่งทอที่ผ่านการอาบหรือจุ่มในพลาสมา จะมีคุณสมบัติใหม่ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซ ที่ใช้ในการผลิตพลาสมาและค่าตัวแปรอื่นๆ ของพลาสมา เช่น การทำให้ผ้าไหมดูดซับน้ำได้ยาก และหากพลาสมามีฟลูออรีนประกอบอยู่ จะสามารถฆ่าเชื้อให้กับเสื้อกาวน์ ชุดคนป่วยรวมถึงผ้าปิดแผลด้วย ถือเป็นการเพิ่มคุณภาพของสิ่งทอ และลดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการผลิต รวมถึงทดแทนขบวนการที่ต้องใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วย

ที่มา: หนังสือพิม์คมชัดลึก

คู่มือซื้อขาย

คู่มือซื้อขาย

ผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศไทยให้ก้าวไกล เครื่องมือสนับสนุนการค้นหาข้อมูลด้านการตลาด เช่น เวบไซต์ นิทรรศการ งานแสดงสินค้า สื่อดิจิทัลและหนังสือ เป็นต้น

จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้นักธุรกิจมีสายตากว้างไกล รู้ทันคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้บริษัทด้านการตลาดแห่งหนึ่งได้จัดทำเวบไซต์ที่รวบรวมสินค้าและบริการต่างๆ สำหรับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมโดยตรง

www.thailandpages.com เป็นเครื่องมือสำหรับค้นหาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น ก่อสร้าง เครื่องมือ พลาสติกเคมีภัณฑ์ เครื่องทำความเย็น เครื่องใช้สำนักงาน ยานยนต์และอะไหล่ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ทำให้การค้นหาข้อมูลรายชื่อผู้ประกอบการ ประเภทธุรกิจและสถานที่ติดต่อ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่วนใครที่สนใจใช้บริการซื้อผ่านออนไลน์ เวบนี้ก็จัดบริการไว้เช่นกัน

เวบไซต์ยังฝากประชาสัมพันธ์การจัดงาน ไทยแลนด์ อินดัสเตรียล แฟร์ 2007 ที่ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์นี้ พบกับนิทรรศการพลังงานทดแทน โครงการที่นำพลังงานทดแทนไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ ร่วมฟังสัมมนาฟรีจากนักธุรกิจอุตสาหกรรม และนักการตลาดชั้นนำ

แนะนำเวบไซต์ได้ที่ science@nationgroup.com

ที่มา: หนังสือพิม์คมชัดลึก

เครื่องสูบน้ำพลังงานลูกผสม

เทคโนประดิษฐ์ : เครื่องสูบน้ำพลังงานลูกผสม

เดนมาร์กร่วมกับผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไทย ประเดิม 4 จังหวัดในภาคเหนือ กลางและอีสาน สาธิตระบบสูบน้ำลูกผสมใช้ได้ทั้งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานปกติ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในชนบทห่างไกล
บริษัท กรุนด์ฟอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสูบน้ำจากเดนมาร์ก จับมือกับบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ของไทย จัดตั้งศูนย์สาธิตระบบสูบน้ำใต้ดินด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยใช้เครื่องสูบน้ำรุ่นใหม่ของเดนมาร์ก ซึ่งรองรับพลังงานได้หลายรูปแบบทั้งเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานลมและแหล่งพลังงานอื่นๆ
นายไมเคิล สเติร์นเบิร์ก เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย กล่าวว่า ศูนย์สาธิตดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพันธมิตรความร่วมมือทางธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างไทย-เดนมาร์ก ที่ถือเป็นนโยบายของกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก เพื่อสร้างความตื่นตัวและนำพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ
"ที่ผ่านมา ทางเดนมาร์กสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมไปในมาเลเซีย จีน และกำลังดำเนินการในไทย ด้วยงบประมาณ 33 ล้านบาทในระยะเวลา 2 ปี ในช่วงแรก จะจัดตั้ง 4 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี พระนครศรีอยุธยา และร้อยเอ็ด รวมถึงรถยนต์สาธิตระบบการสูบน้ำแบบเคลื่อนที่อีก 3 คัน เพื่อสัญจรเผยแพร่ไปยังชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ" เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย กล่าว
ด้านผู้บริหารจากโซลาร์ตรอน ระบุว่า รัฐบาลเดนมาร์กกำหนดเงื่อนไขให้ศูนย์สาธิตฯ เข้าไปช่วยเหลือเฉพาะหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือมีไฟฟ้าใช้ในปริมาณจำกัด ซึ่งจะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ โดยจะเชิญทางองค์การบริหารส่วนตำบลเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์สาธิตฯ เพื่อศึกษา เรียนรู้วิธีการใช้งานและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆ

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

"วินโดวส์" ใหม่

ไมโครซอฟท์คลอด "วินโดวส์" ใหม่ปลาย ม.ค.ใส่กลอนกันมือดีฉกข้อมูลแน่นหนา ตอกตะปูฝัง
ซีดีเถื่อน


ไมโครซอฟท์ "วินโดวส์ วิสต้า" ที่พร้อมลงตลาดปลายเดือนนี้ อวดคุณสมบัติเด่นด้านความปลอดภัยข้อมูล ฉีดภูมิคุ้มกันไวรัสเพียบ แถมปิดประตูตายสำหรับซีดีเพลง วิดีโอเถื่อน ขณะที่แฮกเกอร์ขยับมีดรอชำแหละ

แอนดรูว์ แมคบีน แอนดรูว์ แม็คบีน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) แถลงชิมลางก่อนเปิดตัววินโดวส์วิสต้าอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั่วโลก ในวันที่ 30 มกราคมนี้ พร้อมกับชุดปฏิบัติการไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ ซิสเต็ม 2007 และไมโครซอฟท์เอ็กซ์เชนจ์ เซิร์ฟเวอร์ 2007

“ระบบปฏิบัติการดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นพร้อมกับชุดปฏิบัติการไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ ซิสเต็ม 2007 และไมโครซอฟท์เอ็กซ์เชนจ์ เซิร์ฟเวอร์ 2007 สำหรับการใช้งานในสำนักงาน และกลุ่มองค์กรที่ต้องการการทำงานที่ง่ายและรวดเร็ว ตลอดจนความปลอดภัยในการปกปิดข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทไม่ให้สูญหายและรั่วไหลอย่างที่ผ่านมา” ผู้บริหารไมโครซอฟท์ กล่าวและว่า ระบบปฏิบัติการทั้งสามตัวได้นำร่องใช้จริงกับองค์กรธุรกิจ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งผลการใช้งานเป็นที่น่าพอใจ

ระบบปฏิบัติการหรือ โอเเอสรุ่นใหม่ของไมโครซอฟท์ออกแบบมาให้ประมวลผลแบบ 64 บิต สอดคล้องกับซีพียูรุ่นใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพในการประมวลผลที่เร็วยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสให้การพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ที่มีความซับซ้อนและเพิ่มลูกเล่นได้อย่างตระการตา

คุณสมบัติเด่นประการหนึ่งของวิสต้าคือ การรักษาความปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์ โดยปิดประตูกันไวรัสคอมพิวเตอร์ดอดเข้ามาดูดข้อมูลส่วนตัว หรือเข้ามาแฝงตัวติดตั้งอยู่ในระบบโดยอาศัยช่องโหว่ในตัวระบบปฏิบัติการ และยังเป็นฝันร้ายสำหรับนักดูหนังฟังเพลงจากซีดีเถื่อนที่บันทึกในรูปแบบความคมชัดสูง (HD) โดยวิสต้าจะลดทอนคุณสมบัติในการแสดงภาพและเสียงลงหากไฟล์ที่ใช้เล่นผิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า ยิ่งเป็นการท้าทายให้แฮกเกอร์หาช่องโหว่ และปล่อยไวรัส

เอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า อินเทลได้พยายามพัฒนาเทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์ให้มีประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงขึ้นมาโดยตลอด เขาคาดว่า วินโดวส์ที่ออกมาใหม่นี้ จะช่วยให้การทำงานของเทคโนโลยีของอินเทลเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อินเทล คอร์ 2 ดูโอ โปรเซสเซอร์ และเทคโนโลยีอินเทล วีโปร ซึ่งรองรับการทำงานของวิสต้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประมวลภาพกราฟฟิก 3 มิติและการใช้งานมัลติมีเดีย

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ม.แม่ฟ้าหลวง’จับมือไซน์ปาร์ค

‘ม.แม่ฟ้าหลวง’จับมือไซน์ปาร์คดันงานวิจัยพ้นหิ้ง

กระทรวงวิทยาศาสตร์จับมือมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน ส่งผลงานวิจัยและเทคโนโลยีหนุนวิสาหกิจชุมชนใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เผยเดือนหน้าพร้อมขยายเครือข่ายสู่ภาคเหนือตอนล่าง ดึงมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นแนวร่วม

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดตั้งเครือข่ายโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ (ไซน์ปาร์ค) ภาคเหนือ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน (อวน.ศบ.) กับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อให้การบริการด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบนคือ เชียงราย พะเยา แพร่และน่าน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ภายหลังจากลงนามครั้งนี้ทั้งสามหน่วยงานจะหารือร่วมกันถึงภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์เครือข่ายภาคเหนือตอนบน ในเบื้องต้นจะเป็นไปตามภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ เช่น การจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานด้านกระบวนการผลิต การสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และดำเนินการบ่มเพาะเทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ ตลอดจนการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่

ด้าน ศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทวีศักดิ์ ระมิงค์วงศ์ ผู้ประสานงานและปรึกษาอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือกำหนดให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นเครือข่ายหลักของอุทยานฯ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน และในเดือนกุมภาพันธ์จะมีการลงนามกับมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อดำเนินการอุทยานวิทยาศาสตร์ เครือข่ายภาคเหนือตอนล่าง รับผิดชอบจังหวัดพิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย กำแพงเพชร อุทัยธานี และนครสวรรค์ ต่อไป

รศ.ดร.เทอด เทศประทีป รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า เดิมมหาวิทยาลัยกำหนดโครงการ “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติวิทยา” แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตทางการเมือง ทำให้โครงการนี้ไม่มีการขับเคลื่อน

ดังนั้น เมื่อมีการร่วมเป็นเครือข่ายและพันธมิตรของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จึงถือเป็นโอกาสที่จะนำจุดแข็งด้านวิทยาศาสตร์ฯ และทรัพยากร มาพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญเพื่อให้เป็นศูนย์รวมการวิจัย พัฒนา บริการ ถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับชุมชน ภาครัฐและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

สุดยอดนวัตกรรมไอซีทีเด็กไทย

โชว์ 4 ผลงาน “สุดยอดนวัตกรรมไอซีทีเด็กไทย” เรียกน้ำย่อยก่อนชมงานจริง

การประกวดสุดยอดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่กำลังจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ระหว่างต้นเดือน ก.พ.ที่จะถึงนี้ เม่อวันที่ 24 ม.ค.ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ พร้อมๆ กับนำผลงาน 4 ชิ้นที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ที่จะไปตัดเชือกกันภายในงานมาเรียกน้ำย่อยให้ชมกันก่อน

ในการแถลงข่าว “การประกวดสุดยอดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6” (Thailand ICT Contest Festival 2007) เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ณ ห้องประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธาน นอกจากจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว ยังได้นำเสนอ 4 ตัวอย่างผลงานที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ที่จะไปตัดเชือกกันภายในงานมาเรียกน้ำย่อยให้ชมกันก่อน

เริ่มจากโปรแกรม "บริการสภาพข้อมูลจราจรในกรุงเทพฯ" ของ น.ส.มาลิดา พลชัยวงศ์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเป็นโปรแกรมบริการข้อมูลสภาพจราจรในกรุงเทพฯ ให้บริการข้อมูลสภาพจราจรและข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการจราจรผ่านทางเว็บไซต์ โดยจะมีการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสในแบบต่างๆ เช่น การรายงานข้อมูลสภาพจราจรและข่าวโดยการแฟลชขึ้นมา การให้บริการค้นหาโดยใช้ชื่อถนนหรือช่วงของถนนเพื่อแสดงสถานะของถนน การเลือกสภาพถนนที่มีความหนาแน่นในระดับต่างๆ เพื่อใช้ตัดสินใจในการเลือกใช้เส้นทาง และการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้กับโปรแกรมกูเกิ้ลเอิร์ธโดยจะแสดงสถานะของถนนเป็นสีต่างๆตามข้อมูลสภาพการจราจร

โปรแกรมถัดมาคือ โปรแกรม "ทันใจ ไม่ต้องพิมพ์" ของนายณัฎฐ์ ปิยะปราโมทย์ โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย จ.ราชบุรี เป็นโปรแกรมประยุกต์ใช้งานจัดเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Document Imaging) ที่สามารถปรับปรุงคุณภาพภาพเอกสารจากกล้องดิจิตอลให้มีความคมชัด (Contrast) มากขึ้นโดยอัตโนมัติ รวมทั้งสามารถทำการรู้จำตัวอักษรภาพเอกสารจากกล้องได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งโปรแกรมมีความถูกต้องไม่ต่ำกว่า 90%

ด้านผลงานชิ้นที่ 3 คือ โปรแกรม "จำลองอาคารและแสดงผลการวิเคราะห์จากกล้องวงจรปิดเพื่อประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบความหนาแน่นของประชากรในอาคาร และการตรวจสอบพื้นที่จอดรถในรูปแบบสามมิติ" ของ น.ส.สุพรรษา รุ่งโรจน์สกุลพร น.ส.อรณี โกมลเกษรักษ์ และนายวิชัย สุนทรสุข มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยเป็นซอฟแวร์เพื่อใช้ในการจำลองอาคารและนำข้อมูลจากกล้องวงจรปิดมาวิเคราะห์และแสดงผล ผู้ใช้สามารถวาดแผนผังอาคารอย่างคร่าวๆ และกรอกรายละเอียดของกล้องเพื่อแสดงผลการวิเคราะห์ตามต้องการ โดยรูปแบบการแสดงผลจะแสดงในลักษณะของตัวแทนของวัตถุต่างๆ ในรูปแบบสามมิติ เพื่อให้เกิดความสวยงาม และยังสามารถเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย

ส่วนโปรแกรมสุดท้ายคือ โปรแกรม "ยุทธ์ : ขุนศึกมหาราช" ของนายอานนท์ ตั้งสถิตพร นายขัตติพงษ์ เห็นสุข และนายรัฐพล จิตต์ประจง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเป็นเกมคอมพิวเตอร์ 3 มิติ อิงประวัติศาสตร์พระราชวีรกรรมในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามกู้เอกราช ที่ผสมผสานรูปแบบเกมวางแผนตามเวลาจริง (RTS) กับเกมต่อสู้ (Action) เข้าไว้ด้วยกัน และยังสามารถเล่นทั้งสองรูปแบบประสานกันได้ในโหมดผู้เล่นหลายคนที่เล่นพร้อมกันได้สูงสุด 8 คน

สำหรับผู้ที่สนใจไปร่วมงานให้เห็นผลงานของน้องๆ ให้เห็นกับตา ก็สามารถไปร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 7 -9 ก.พ.50 เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ ไอส์แลนด์ฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ รามอินทรา กรุงเทพฯ โดยสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์เนคเทค โทรศัพท์ 0-2564-6900 ต่อ 2324-2328, 2345 หรืออีเมล fic@nnet.nectec.or.th และเว็บไซต์ http://www.nectec.or.th/fic

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009234

‘วิทยาศาสตร์อาเซียน’

ไทยเจ้าภาพจัดเวที ‘วิทยาศาสตร์อาเซียน’
สร้างเครือข่ายแลกนักวิจัยทำงานข้ามแล็บ


ไทยเจ้าภาพจัดเวทีวิทยาศาสตร์อาเซียน 10 ประเทศสมาชิก ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จัดส่งนักวิจัยไปร่วมทำงานในห้องปฏิบัติการต่างประเทศ

ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า คณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพการประชุมการสร้างเครือข่ายศูนย์เฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (The First Forum on Network of Asean S&T centers) ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 25-26 มกราคม นี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เนื่องจากไทยมีความเชี่ยวชาญและความพร้อมในด้านวิทยาศาสตร์ฯ

ในการประชุมครั้งนี้ นักวิจัยจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน กัมพูชา ลาว และพม่า จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลและงานวิจัยระหว่างสมาชิก รวมถึงการวางแนวทางในการสร้างศูนย์เครือข่ายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลสรุปที่ได้จากเวทีนี้จะนำไปถกกันในเวทีการประชุมอาเซียนว่าด้วยหัวข้อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่ 52 (COST) ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เดือนเมษายนนี้ เพื่อเป็นแนวทางหารือร่วมกันที่จะแลกเปลี่ยนนักวิจัยข้ามประเทศในอนาคต

เนื้อหาการประชุมจะครอบคลุมด้านไบโอเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การอาหาร พลังงานทดแทน รวมถึงความร่วมมือด้านวัสดุศาสตร์เทคโนโลยีอวกาศและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเอเชียมีจุดเด่นด้านเกษตรกรรมและการผลิตอาหาร ทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ จึงควรสร้างความร่วมมือระหว่างกันในการนำทรัพยากรดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งนี้ คือ การพบปะหารือและแลกเปลี่ยนนักวิจัยที่มีจำกัดระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต เช่น นักวิจัยด้านไข้หวัดนก พลังงานชีวมวลหรือพลังงานทดแทนอื่นๆ ที่หลายประเทศกำลังสนใจ เป็นต้น ตลอดจนนำไปสู่ความร่วมมือในหารวิจัย เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการวิจัยในบางสาขา

ตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอาเซียน (APAST) ระบุถึงความสำคัญในการจัดตั้งสำนักงานและศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจตั้งอยู่ในประเทศ หรือในประเทศสมาชิกจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างศูนย์ ไม่เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ และการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังเป็นฐานที่ช่วยให้เกิดการวิจัยพัฒนาร่วมกันตลอดจนส่งนักวิทยาศาสตร์แลกเปลี่ยนการทำงานในศูนย์วิจัยของแต่ละประเทศด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Wednesday, January 24, 2007

นักวิทย์ ขาสั้น คอซอง

นักวิทย์ ขาสั้น คอซอง

ขวัญกับเปิ้ล สองสาววัยทีนเมืองที่ได้รับขนานนามว่า “เมืองโอ่ง” แม้ระยะหลังเวลานั่งรถผ่านจากนครปฐมไปเพชรบุรีจะไม่ค่อยเห็นโอ่งตามสองข้างทางเหมือนก่อน แต่ที่เห็นและสะดุดตาคนที่ใช้เส้นทางนี้มากกว่า กลับเป็นไม้ดัดที่ถูกดัดแต่งให้เป็นรูปกวาง ช้าง มังกร กระต่าย ฯลฯ ช่วยให้การเดินทางสนุกขึ้น

เปล่าหรอก สาววัย 15 สองคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์สองข้างถนนเลย แต่พวกเธอมีความเจ้าคิดเจ้าประดิษฐ์ที่... อืม... จะเรียกว่าอย่างไรดี... เอาเป็นว่า เป็นไอเดียเล็กๆ แต่...กอบกู้โลกจากขยะโฟมก็แล้วกัน

คงไม่ต้องสาธยายอะไรมากนักกับเจ้าบรรจุภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาให้เป็นปรปักษ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างเจ้ากล่องโฟม โฟมกันกระแทก ถาดโฟม ซึ่งเป็นตัวการก่อมลพิษพอๆ กับถุงพลาสติกเพียงแค่เข้าห้างสะดวกซื้อหรือไปซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีตัวการก่อมลพิษติดไม้ติดมือมาแล้ว

“โฟมเป็นบรรจุภัณฑ์ที่พ่อค้าแม่ค้านิยมใช้ เนื่องจากราคาถูก หาง่าย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นขยะเจ้าปัญหา เพราะว่าใช้ระยะเวลาในการกำจัดนานมาก ถ้าปล่อยให้ย่อยสลายเองต้องใช้เวลาเกือบ 500 ปี หรือถ้าเผาก็จะเป็นการทำลายทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม เพราะในโฟมมีก๊าซพิษ หรือกำจัดโดยฝังกลบก็จะเกิดปัญหาตามมาในระยะยาว” ขวัญนภา สรวยล้ำ (ขวัญ) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวัดจันทราราม (ตั้งตรงจิตร 5) จังหวัดราชบุรี ได้เล่าให้ฟังถึงขยะเจ้าปัญหาก่อนจะเกิดแนวคิดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกับเพื่อน คือ รุ่งนภา จำเรียน (เปิ้ล) เพื่อหาทางช่วยลดขยะ

ขวัญกับเปิ้ลเล่าให้ฟังว่าก่อนจะมาสนใจในด้านวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังนั้น ก็เคยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางโรงเรียน โดยเข้าแข่งขันทางด้านวิชาการ และยังเป็นนักกีฬาของทางโรงเรียนด้วย ที่สำคัญพ่อแม่สนับสนุนอย่างเต็มที่ และยังได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ จนซึมซับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เต็มปรี่ จนต้องหาทางระบายออกด้วยการนำเอาความรู้มาแก้ปัญหาวิกฤติโลก

สองสาวตั้งชื่อโครงการว่า ‘กล่องโฟมแปลงร่าง’ ฟังแล้วชวนให้ฉงนปนน่าติดตาม ทั้งสองมองว่าโฟมเป็นวัตถุดิบที่อยู่ใกล้ตัวแต่กลับเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ

ขวัญและเปิ้ลไม่เพียงแต่คิดหาทางกำจัดขยะโฟมเท่านั้น แต่คิดว่ามันน่าจะทำประโยชน์อะไรได้จากเจ้าขยะที่คนอยากจะกำจัดออกไปจากบ้านโดยเร็ว จึงได้ค้นคว้าและทำการทดลองศึกษาหาความหนาแน่นและความคงทนเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อ ตั้งแต่ผลไม้ตั้งโชว์ไปจนถึงแผ่นรองขาโต๊ะ หรือทำเป็นรูปแบบอื่นๆ ตามต้องการ
การค้นคว้าครั้งนี้มีพี่เลี้ยงใหญ่อย่างอาจารย์แก้วตา แก้วจีน ดูแลอย่างใกล้ชิด

นักวิทยาศาสตร์วัยทีนทดลองน้ำมัน 7 ชนิด ที่มีคุณสมบัติต่างชนิด ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง น้ำมันหมู น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงาและน้ำมันมะกอก มาใช้ทำละลายโฟมที่ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นคนให้เข้ากันจนละลาย ในกรณีที่ไม่ละลายแล้วเทใส่แม่พิมพ์ทิ้งให้แห้งแกะออก

จากการทดลองพบว่าน้ำมันเหลืองมีคุณสมบัติทำให้โฟมแข็งตัวเป็นรูปทรงหนาแน่นและมีความคงทนมากที่สุด จึงใช้ประโยชน์จากโฟมที่ละลายในน้ำมันถั่วเหลือง ทำให้เป็นผลไม้จำลอง และแบบจำลองอื่นๆ ตามต้องการได้

กล่องโฟมแปลงร่างเป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่ส่งเข้าแข่งขันในการแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์ศูนย์การเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์และธรรมชาติวิทยา พื้นที่ภาคตะวันตก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโลยี (สสวท.)

โครงการดังกล่าวต้องการสร้างเครือข่ายทางวิชาการเพื่อพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเป็นศูนย์อบรมครูและจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียน โดยมุ่งเน้นในพื้นที่ภาคตะวันตก 8 จังหวัด คือ นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ดำเนินโครงงานศูนย์การเรียนรู้ดาราศาสตร์และธรรมชาติวิทยา พื้นที่ภาคตะวันตก

การให้รางวัลด้วยคะแนน 4 ดาว 3 ดาว 2 ดาว และ 1 ดาว ตามลำดับ เกณฑ์การตัดสินค้นคว้าเอกสาร การอธิบาย ตลอดจนวิธีการนำเสนอของนักเรียน

“เมื่อปีที่แล้วก็เคยเข้ามาร่วมแสดงผลงานได้รับรางวัลที่ 2 มา ในปีนี้ก็ได้รับรางวัลระดับ 3 ดาว รู้สึกดีใจมากกับรางวัลที่ได้รับ ผลงานชิ้นนี้เคยนำไปแข่งขันที่โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี ได้รับรางวัลที่ 1 ในการประกวดที่เขตการศึกษาราชบุรีเขต 2 ขวัญเล่า และยังตั้งใจนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้คนที่สนใจด้วย

สมุนไพรสลายพิษ
ส่วนโครงงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ว่า “สมุนไพรล้างสารพิษ” ซึ่งเป็นผลงานของเรไร คำมอญดี และ สุชาดา ผาปาน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนวัดหุบกระทิง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ที่นำน้ำสมุนไพรมาประยุกต์ใช้ล้างผักเพื่อช่วยดูดสารพิษออกให้เหลือน้อยลงที่สุดก่อนนำไปรับประทาน ด้วยวิธีการอย่างง่ายคือ นำเอาตำลึง ฟัก มะละกอ บวบ ผักกาดขาว มาคั้นน้ำและต้ม

ทีมงานวิจัยวัยสะออนเริ่มเข้าห้องสมุดค้นคว้าเกี่ยวกับพืชสมุนไพรจนพบตำราเล่มหนึ่ง “สมุนไพร...ไม้พื้นบ้าน” ที่จัดขึ้นโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และยังได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารอื่นเพิ่มเติมก่อนลงมือปฏิบัติการ

“เกษตรกรนิยมใช้สารไซเพอร์เมทริลหรือเรน็อค ปราบเหล่าแมลงที่มากลุ้มรุมทำร้ายพืชสวนไร่นา และจากการศึกษาคุณสมบัติในการดูดซึมสารพิษพบว่า สารสกัดจากหัวผักกาดขาวสามารถดูดซึมสารพิษได้ดีที่สุด เหมาะที่จะนำมาสกัดเป็นน้ำล้างผักผลไม้ก่อนนำไปรับประทาน” นักวิจัยตัวน้อยบอก

หลังจากได้สารสกัดแล้ว กระบวนการทดลองจึงเริ่มขึ้นโดยนำมาผสมในอัตราส่วน 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร และหยดสารละลายไซเพอร์เมทริลความเข้มข้น 1.01 พีพีเอ็ม (ส่วนต่อล้านหน่วย) ลงไป แล้วนำลูกปลานิลอายุ 40 วันมาทดสอบ แบ่งเลี้ยงเป็นโหลเพื่อเปรียบเทียบผล สังเกตการณ์ออกฤทธิ์ของสารสกัดทั้ง 5 ชนิด พร้อมกับบันทึกข้อมูลเป็นระยะๆ

“สิ่งที่ได้จากการเรียนวิทยาศาสตร์คือ การมีความคิดเป็นขั้นตอน และริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ประยุกต์ระหว่างองค์ความรู้เก่าและใหม่ ใช้ควบคู่กับเนื้อหาภาคทฤษฎีที่เรียนในห้องเรียน” นักวิจัยวัยทีน กล่าว

ประโยชน์ของ “ขี้”
สุวัฒน์ ท้าวแสง ม.2 หรือ แม็ค และวราลักษณ์ ทองปาน ม.3 หรือ ฝ้าย จากโรงเรียนวัดบ้านหม้อ (ประชารังษี) จังหวัดราชบุรี อีกเช่นกันที่มองเห็นประโยชน์จากสิ่งที่ไร้ค่า ก็แหมใครละจะคิดว่า ขี้เถ้ามันจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้อีกนอกจากกลบไฟให้มอด แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้คุณสมบัติเป็นด่างของขี้เถ้าก็จะทำให้ดินเสื่อมสภาพ การค้นพบของนักวิทย์วัยทีนเริ่มจากการเล่นซนตามประสาเด็กซนคือเด็กฉลาด

“เราเล่นขี้เถ้าอยู่ดีๆ เห็นว่าเวลาขี้เถ้าเปียกแล้วมันเหนียวๆ คล้ายปูนตอนเปียกน้ำ จึงไปปรึกษาครู ว่าสามารถนำไปทำโครงงานอะไรได้บ้าง ครูแนะนำมาว่าควรจะนำมาทำอิฐ และได้ทดลองตั้งแต่เดือนกันยายนถึงสิงหาคม จนประสบความสำเร็จและได้นำมาทดลองใช้ในโรงเรียนก่อน คือใช้ปูทางเดินสวนหย่อม ทำกระถางรอบต้นไม้ให้มีความสวยงาม เพราะเนื่องจากขี้เถ้ามีจำนวนน้อย ไม่สามารถนำไปก่อสร้างสิ่งที่มีขนาดใหญ่ได้ เคยนำผลงานนี้ออกเสนอตามวันสำคัญต่างๆ หรือถ้าเพื่อนคนไหนสนใจก็จะสอนให้ในช่วงเย็น”

แต่การทดลองของหนุ่มแม็คกับสาวฝ้ายใช่จะราบรื่นเหมือนถนนเทคอนกรีต พวกเขาเล่าถึงปัญหาสำคัญระหว่างการทดลองคือเครื่องมือ โดยเฉพาะบล็อกสำหรับหล่อทำอิฐ

“ทีแรกเราเททุกอย่างลงบนพื้น ปรากฏว่า น้ำซึมลงพื้นหมด เลยเปลี่ยนมาผสมทีละอัตราส่วนใส่ถังพลาสติกแทน ตอนนี้โครงงานก็ได้ออกมาเผยแพร่สู่ชุมชนแล้ว รู้สึกภูมิใจมากที่ทำสำเร็จแม้จะเหนื่อยต่อการทดลอง แต่ในเมื่อผลงานออกมาเป็นรูปร่างได้ก็รู้สึกดีใจมาแล้ว” ฝ้ายบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เปลี่ยนนิสัย “คุณนายตื่นสาย”
มีใครบ้างไม่รู้จักไม้ชื่อแปลกอย่างคุณนายตื่นสาย แต่จะว่าไปแล้วคนสมัยโบราณก็มักตั้งชื่อดอกไม้ตามบุคลิกของมัน อย่างเช่น ซ่อนกลิ่น บานเช้า บานเย็น

นักวิทยาศาสตร์ต่างประทศเคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีนาฬิกาชีวภาพควบคุมการตื่นและหลับอยู่ในร่างกาย แต่ธรรมชาติที่ต่างกันทำให้ดอกโสนบานเช้า ดอกสะเดาบานเย็น แล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่จะปลุกให้คุณนายตื่นสาย ตื่นเร็วขึ้น

ปนัดดา เนียมนรา และเพื่อน ม.3 จากโรงเรียนดอนมะโนรา จังหวัดสมุทรสงคราม ลองหาทางปลูกคุณนายตื่นสายด้วยวิธีทำให้มันเผชิญกับสภาพแสงเทียมด้วยความแรงต่างกัน คือ รับแสงไฟขนาด 40 แรงเทียน 60 แรงเทียน 100 แรงเทียน และ 120 แรงเทียน ตามลำดับ และปรับแสงให้เป็นสีแดง เหลือง น้ำเงิน ขาว ด้วยกระดาษแก้ว เทียบกับต้นที่อยู่ในแสงแดดปกติ

คู่หูนักวิจัยพบว่าต้นที่ได้รับแสงแดดปกติจะบานเมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. ส่วนต้นที่อยู่ในตู้มืดและถูกควบคุมด้วยแสงจะบานที่เวลาประมาณ 10.00 น. และแสดงให้เห็นว่าการบานของดอกคุณนายตื่นสายไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของแสงแดดและความร้อนเพียงอย่างเดียว ในความมืดก็สามารถบานได้แต่ช้ากว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ รังสีจากดวงอาทิตย์ เป็นต้น

“เห็นได้ชัดหลังจากเรียนภาคทฤษฎีและทดลองปฏิบัติเป็นโครงงาน การเรียนวิทยาศาสตร์ให้สนุกต้องเริ่มจากการเป็นคนช่างสังเกต ขยันเก็บข้อมูลทั้งจากห้องสมุด หรืออินเทอร์เน็ต ก็จะเป็นเหมือนการฝึกฝนให้เรารู้จักการคิดที่เป็นขั้นตอนมากขึ้น รู้จักความตรงต่อเวลา และมีความรับผิดชอบในการทำงานร่วมกับผู้อื่น” คำแนะนำจากนักวิจัยตัวจ้อย

ถั่วงอกปลอดสารพิษ
“ปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคต้องเสี่ยงกับการบริโภคถั่วงอกที่ปนเปื้อนสารเคมีอันตราย โดยเฉพาะสารฟอกขาว โซเดียมไฮโดรซันเฟตหรือโซเดียมไดไธโอไนต์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ห้ามใช้ในอาหาร ทีมวิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการเพาะถั่วงอกไว้สำหรับรับประทานเองในหลายๆ วิธี เพื่อหาวิธีให้ผลผลิตสูงสุด รวมทั้งศึกษาวิธีการเก็บถั่วงอกอย่างง่ายสำหรับใช้ในครัวเรือน” สุภาพร สินสอน และน้ำฝน อิ่มแสง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวัดหุบกระทิง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เล่าถึงโครงการอย่างฉะฉาน

โครงการของสองเกลอมีชื่อเรียกว่า “ถั่ววิเศษ” แต่ไม่ได้หมายถึงถั่ววิเศษที่แจ๊คใช้ปีนขึ้นไปฆ่ายักษ์ แต่เป็นการศึกษาหาวิธีเพาะถั่วงอกกินเอง โดยใช้ภาชนะรูปแบบต่างๆ เพื่อหาผลผลิตสูงสุด และยังหาแนวทางถนอมถั่วงอกให้เก็บไว้ใช้ทำอาหารได้นานขึ้นกว่าเดิม

ถึงแม้การทดลองสร้างถั่ววิเศษจะไม่ได้ใช้เทคนิคที่พิเศษวิลิศมาหราอย่างการทดลองชั้นสูง แต่สิ่งที่ได้จากการทดลองดังกล่าวคือ การค้นคว้า การฝึกสังเกต จดทันทึก และรายงานผล

พรทิพย์ อิ่มศิลป์ ครูจากโรงเรียนวัดนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี บอกว่า การค้นหาความลับของธรรมชาติด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สมัยนี้ทำได้ง่าย มีสื่อทั้งวีดีโอ ซีดี หนังสือการ์ตูน สารคดี และนำธรรมชาติใกล้ตัวมาเริ่มต้นปูพื้นฐานให้เด็กรู้จริง รู้สึก ไม่ใช่เรียนและนั่งจินตนาการเสมือนการเรียนจากตำราเมื่อ 10-20 ปีก่อนหน้านี้

“การเริ่มต้นให้เด็กหันมารักวิทยาศาสตร์อย่างยั่งยืน ควรเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งเล็กมากแค่ไหนยิ่งดี เพราะเป็นช่วงที่มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นทุน สอนได้ง่าย เช่น การระบายสี การผสมสี การตำใบไม้เพื่อนำมาย้อมผ้าหรือวัสดุทดลองอย่างอื่น หรือแม้แต่การสังเกตการเจริญเติบโตของต้นไม้ตั้งแต่เป็นเมล็ดจนกระทั่งออกดอกสวยสะพรั่งก็ทำได้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ถ้าเด็กได้ทดลองปฏิบัติโดยตรงแล้วรับรองว่าจะคลั่งไคล้วิทยาศาสตร์จนตาไม่กระพริบ และจึงค่อยเริ่มสอนขั้นตอนการทำโครงงานให้ในเวลาต่อมา” ครูพรทิพย์ ให้ความเห็น

เธอมองว่า ถึงแม้โครงงานระดับเด็กประถมจะไม่เลิศหรูเหมือนเด็กมัธยม แต่สิ่งสำคัญที่ได้คือ เด็กสามารถคิดเองได้ แก้ปัญหาเบื้องต้นเป็น ตรงต่อเวลาในการทำงาน กล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น เธอยกตัวอย่างโครงงาน “กินอะไรถึงสวย” ของนักเรียนโรงเรียนวัดนางแก้ว ซึ่งเป็นการสอนให้เด็กเก็บข้อมูลและเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตจากบันทึกความสูง ความกว้างและยาวของใบ ขนาดดอก จำนวนดอกของดาวเรือง ระหว่างการใช้ปุ๋ยหมักจากใบจามจุรีกับปุ๋ยหมักจากใบมะขามในการปลูก

สุชาติ เอื้อประเสริฐ ครูจากโรงเรียนเทศบาล 2 อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่พานักเรียนชั้นป.4-ป.6 มาร่วมงานถึง 46 คน บอกว่า โรงเรียนต้องการให้ลูกศิษย์เรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาโครงงานของรุ่นพี่ต่างโรงเรียนที่นำมาประกวดกันเพื่อนำความคิดที่ได้ขณะเดินชมงานไปจุดประกายต่อยอดเป็นโครงงานของตนเองในห้องเรียนต่อไป แม้จะติงว่าช่วงเวลาจัดงานเพียง 1 วันค่อนข้างสั้นไปหน่อย

พรลดา จั่นเพชร ครูจากโรงเรียนล้อมรักกล่าวสนับสนุนว่า โครงการศูนย์การเรียนรู้ดาราศาสตร์และธรรมชาติวิทยาพื้นที่ภาคตะวันตก เป็นกิจกรรมที่สมควรมีต่อไปเรื่อยๆ เพราะจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากการเดินศึกษาผลงานของรุ่นพี่ เสมือนเป็นการถ่ายทอดมรดกจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

ภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียงที่นำธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐาน และจะนำไปต่อยอดความคิดในเวลาต่อไปได้เอง

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ข้าวกล้องสดเก็บทนนานไร้กลิ่นหืน

เอกชนไทยวิจัยเพิ่มมูลค่าให้ข้าวกล้อง ทุ่มทุนกว่า 40 ล้านบาทคิดหาวิธียืดอายุการเก็บรักษาให้ได้นานถึง 9 เดือน โดยไม่เหม็นหืน ทั้งยังถนอมสารหาอาหารไว้ครบถ้วน เผยตั้งราคาขายกิโลกรัมละ 100 บาท

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ข้าวกล้องสด จำกัด กล่าวว่า บริษัทใช้เวลา 4 ปีเต็มในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อสุขภาพ ได้รับความสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อหาวิธีรักษาสารอาหารในเมล็ดข้าวให้อยู่ครบถ้วน จนค้นพบวิธีหยุดการทำงานของเอมไซม์ในเมล็ดข้าว ไม่ให้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและแสงแดด

โดยใช้ความร้อนในระดับที่เหมาะสมยิงเข้าไปที่เอมไซม์ แต่กว่าจะพบระดับความร้อนที่เหมาะสม นักวิจัยต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกนับพันครั้ง และใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท จึงได้ข้าวกล้องสดที่สามารถเก็บรักษาได้นาน 9 เดือน ไม่มีกลิ่นหืน อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในปริมาณสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไป สารอาหารเหล่านี้จะป้องกันการเกิดภาวะซินโดรมเอ็กซ์ในร่างกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจ

“ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 ที่ผ่านมาหลังจากได้รับการจดสิทธิบัตร บริษัทสามารถผลิตข้าวกล้องสดออกสู่ตลาดได้ 300 ตันต่อเดือน และจัดตั้งศูนย์จำหน่ายทั่วกรุงเทพฯ กว่า 10 ศูนย์ ส่วนต่างจังหวัดอยู่ระหว่างดำเนินการขยายพื้นที่จำหน่าย โดยได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ เพราะราคาข้าวกล้องสดสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไป 2-3 เท่า หรือประมาณกิโลกรัมละ 100 บาท" นายสนธิรัตน์ กล่าว

นอกจากผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องสดแล้ว ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินวิจัยเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว เพื่อทำเป็นอาหารเสริมอีกหลายชนิด โดยเน้นอาหารเสริมชนิดกินยามว่าง หรือกินตามสะดวก

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เศษดาวเทียมจีน

นาซาโล่งอกเศษดาวเทียมจีนไม่กระทบสถานีอวกาศ

เอเจนซี - เศษหักพังที่เกิดขึ้นจากการระเบิดดาวเทียมปลดระวางของจีนยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่สถานีอวกาศนานาชาติแต่อย่างใด

ไมเคิล กริฟฟิน (Michael Griffin) ผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (NASA) เปิดเผยว่า ทางนาซาได้ตรวจสอบเศษ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในแถบบริเวณที่สถานีอวกาศนานาชาติโคจรอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงอันตรายของสถานี

แต่หลังจากที่มีข่าวว่าจีนได้ทดลองยิงขีปนาวุธทำลายดาวเทียมปลดระวางตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ก็ได้พยายามตรวจสอบเศษหักพังในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงตรวจสอบสถานีอวกาศ แต่ก็ยังไม่มีรายงานความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น

สถานีอวกาศนานาชาติเป็นโครงการร่วมกันระหว่างองค์กรอวกาศ 5 แห่งคือ แคนนาดา, ยุโรป, ญี่ปุ่น, รัสเซีย และสหรัฐฯ ซึ่งกินวงโคจรห่างจากโลกออกไปประมาณ 400 กิโลเมตร ซี่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับดาวเทียมที่จีนยิงทำลาย

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009197

เตือนทั่วโลกรับมือปัญหาน้ำ

เตือนทั่วโลกรับมือปัญหาน้ำหวั่นอนาคตอาจไม่มีแม่น้ำให้สูบใช้

นิวยอร์ก-เตือนทั่วโลกเร่งหามาตรการแก้ปัญหาน้ำเพราะในอนาคตจะไม่มีแม่น้ำมาให้สูบน้ำใช้อีกแล้ว
นายเจฟฟรีย์ แซคส์ ผู้อำนวยการโครงการสหัสวรรษแห่งสหประชาชาติ กล่าวระหว่างการประชุมสุดยอดการพัฒนาแบบยั่งยืนปี 2550 ที่กรุงนิวเดลี อินเดีย เมื่อวันอังคาร (23 ม.ค.) ว่าโลกกำลังจะขาดแคลนน้ำ รวมถึงจะไม่มีแม่น้ำมาให้สูบน้ำขึ้นมาใช้มากกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะในจีนและอินเดียที่กำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถใช้วิธีการแบบเดิมๆ ในการจัดการเรื่องน้ำได้อีกแล้ว จึงจำเป็นอย่างมากที่ทุกประเทศจะต้องจัดเตรียมมาตรการพื้นฐานมารับมือปัญหานี้ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตอาหารในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จีน และอินเดียจะยังสามารถใช้วิธีการจัดการกับน้ำแบบไม่ยั่งยืนนำน้ำมาหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนถึงปี 2593 ที่จะมีจำนวนถึง 9,000 ล้านคนอยู่ได้ แต่วิธีการนี้มีอายุการใช้งานไม่นานนัก และนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติการเกษตรในทวีปเอเชีย พื้นที่ที่เข้ามาอยู่ภายใต้การชลประทานมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ในหลายพื้นที่กลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการใช้น้ำ ซึ่งขณะนี้น้ำในแม่น้ำฮวงโหของจีนและแม่น้ำคงคาของอินเดียไม่ไหลระบายออกสู่ที่ใดเนื่องจากมีตะกอนไหลไปทับถมอุดตันทางน้ำเป็นจำนวนมาก
นายแซคส์ ยังกล่าวอีกว่า การเติบโตของประชากรในเอเชียที่มีสัดส่วนมากกว่าธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมโลกในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น ด้านนักวิชาการเตือนว่าโลกยังไม่มีการตระหนักถึงสถานการณ์นี้ ทั้งที่ควรเร่งแก้ปัญหาเรื่องน้ำเช่นเดียวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก