Thursday, January 25, 2007

ม.แม่ฟ้าหลวง’จับมือไซน์ปาร์ค

‘ม.แม่ฟ้าหลวง’จับมือไซน์ปาร์คดันงานวิจัยพ้นหิ้ง

กระทรวงวิทยาศาสตร์จับมือมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน ส่งผลงานวิจัยและเทคโนโลยีหนุนวิสาหกิจชุมชนใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เผยเดือนหน้าพร้อมขยายเครือข่ายสู่ภาคเหนือตอนล่าง ดึงมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นแนวร่วม

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดตั้งเครือข่ายโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ (ไซน์ปาร์ค) ภาคเหนือ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน (อวน.ศบ.) กับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อให้การบริการด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบนคือ เชียงราย พะเยา แพร่และน่าน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ภายหลังจากลงนามครั้งนี้ทั้งสามหน่วยงานจะหารือร่วมกันถึงภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์เครือข่ายภาคเหนือตอนบน ในเบื้องต้นจะเป็นไปตามภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ เช่น การจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานด้านกระบวนการผลิต การสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และดำเนินการบ่มเพาะเทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ ตลอดจนการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่

ด้าน ศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทวีศักดิ์ ระมิงค์วงศ์ ผู้ประสานงานและปรึกษาอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือกำหนดให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นเครือข่ายหลักของอุทยานฯ เครือข่ายภาคเหนือตอนบน และในเดือนกุมภาพันธ์จะมีการลงนามกับมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อดำเนินการอุทยานวิทยาศาสตร์ เครือข่ายภาคเหนือตอนล่าง รับผิดชอบจังหวัดพิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย กำแพงเพชร อุทัยธานี และนครสวรรค์ ต่อไป

รศ.ดร.เทอด เทศประทีป รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า เดิมมหาวิทยาลัยกำหนดโครงการ “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติวิทยา” แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตทางการเมือง ทำให้โครงการนี้ไม่มีการขับเคลื่อน

ดังนั้น เมื่อมีการร่วมเป็นเครือข่ายและพันธมิตรของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จึงถือเป็นโอกาสที่จะนำจุดแข็งด้านวิทยาศาสตร์ฯ และทรัพยากร มาพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญเพื่อให้เป็นศูนย์รวมการวิจัย พัฒนา บริการ ถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับชุมชน ภาครัฐและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

No comments: