Thursday, November 15, 2007

“แมวกับหมาใครฉลาดกว่ากัน” ชวนหนูๆ ไปพิสูจน์ดูในเทศกาลหนังวิทย์


แมวเหมียวและเจ้าตูบ 2 สัตว์เลี้ยงยอดฮิตที่ประชันความน่ารักและความฉลาดกันมาตลอดกาล ขนาดฮอลลีวูดยังจับประชันบทบาทกันใน “แคท แอนด์ ด็อก” ภาพยนต์การชิงไหวชิงพริบระหว่างหมาและแมวที่ไม่ลงรอยกันได้อย่างสนุกสนาน แล้วเจ้าสี่ขาชนิดไหนกันแน่ ที่ฉลาดกว่ากัน ร่วมค้นหาคำตอบกันได้แล้ววันนี้ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์

“ผจญภัยในโลก ตอน แมวกับสุนัข ใครฉลาดกว่ากัน?” (Abenteuer Erde: Hund oder Kats, er ist kluger?)ภาพยนตร์สาระบันเทิงจากเยอรมนี ที่น่าดูอีกหนึ่งเรื่องในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ครั้งที่ 3 ให้ทั้งความสนุกสนาน ตื่นเต้น และร่วมลุ้นไปกับเพื่อนสี่ขาที่ต้องเจอบททดสอบต่างๆ นานา เพื่อแข่งขันกันว่า แท้ที่จริงแล้ว “แมวกับสุนัข ใครฉลาดกว่ากัน” กันแน่

เพื่อนบ้านที่เลี้ยงสุนัขและหมาต่างถกเถียงกันเป็นประจำว่า “สัตว์เลี้ยงสุดเลิฟของใครฉลาดกว่ากัน” คนที่เลี้ยงแมวก็ต้องบอกว่าเจ้าเหมียวฉลาดกว่า เพราะจับหนูมาให้ทุกวันบ้างล่ะ ปลดทุกข์ในที่ที่จัดไว้ให้บ้างล่ะ

ส่วนคนที่เลี้ยงหมาก็ต้องบอกว่า เจ้าตูบของเขาฉลาดกว่า และยังฉลาดสุดสุดด้วย

นักวิทยาศาสตร์และนักเรียนช่างสงสัยก็เลยคิดหาวิธีทดสอบสติปัญญาของเพื่อนต่างสายพันธุ์เหล่านี้ เพื่อหาข้อสรุปว่า ใครฉลาดกว่ากัน

บททดสอบแรกเริ่มด้วยการจัดฉากกั้นแมวและสุนัขเอาไว้เป็นรูปหลังคา ที่เผยเป็นช่องว่างเพียงเล็กน้อย แล้วนำอาหารผูกติดกับเชือก ล่อน้องเหมียวและน้องหมาผ่านช่องแคบๆ แล้วดูซิว่าน้องเหมียวกับน้องหมาจะหาวิธีข้ามสิ่งกีดขวางนั้นได้อย่างไร

ถัดมาเป็นการทดสอบการนับเลขโดยให้แมวและสุนัขฟังเสียงเคาะระฆัง แล้วเลือกถ้วยอาหารที่ปิดฝาและมีจำนวนเลขอยู่บนนั้น ใครจะเลือกถูกกันบ้างนะ

นอกจากนี้ ยังทดสอบการฟังคำสั่งต่างๆ จากครูฝึกหรือผู้เลี้ยง ทดสอบหยิบของตามที่เจ้านายสั่ง ฝึกการทรงตัว การแสดง และการดมกลิ่นเพื่อจับโจรผู้ร้าย เป็นต้น

เหล่านี้เป็นบททดสอบเพื่อค้นหาคำตอบว่า ใครจะฉลาดหรือมีความสามารถมากกว่ากัน หรือใครมีไหวพริบที่จะทำให้เจ้านายหันมาเอาใจได้มากกว่ากัน

พร้อมทั้งร่วมย้อนอดีต ไขปริศนาที่มาของสุนัขและแมวว่า กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่คุ้นเคย และเพื่อนรู้ใจของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วได้อย่างไร

น้องๆ อนุบาล 3 จากโรงเรียนอนุบาลสารินย่านถนนสามเสนกว่า 30 คน ที่มาร่วมหาคำตอบความฉลาดของแมวและหมาผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะที่พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร สวนจตุจักร ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า หนังสนุก แมวกับสุนัขก็น่ารักมากๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเป็ปซี แฮร์รี หรือโรบี และเพื่อนสี่ขาตัวอื่นๆ ที่เข้าร่วมทดสอบความสามารถต่างๆ และแทบทุกครั้งที่เจ้าตัวไหนสอบผ่าน เด็กๆ ก็ปรบมือชมเชยเสียงดังลั่น

ไม่ว่าในภาพยนตร์จะสรุปว่าอย่างไร แต่น้องคิว หรือ ด.ช.คิวทาโร กิ่งพะโยม บอกว่า แมวฉลาดกว่า เพราะที่บ้านน้องคิวเลี้ยงทั้งแมวและหมา แต่แมวเชื่อฟังน้องคิวมากกว่า เวลาที่เขาไม่สบายเขาก็รู้ว่าต้องไปหาหมอและต้องกินยา เวลาสกปรกก็ให้อาบน้ำให้แต่โดยดี

ด้านน้องต้น ด.ช.นิติรัฐ สิทธิเทศานนท์ ก็บอกว่าแมวฉลาดกว่า เพราะเขารักความสะอาดมากกว่าหมา แต่ถ้าจะให้เลี้ยงแมว น้องต้นก็ไม่เลี้ยง เพราะตอนนี้เลี้ยงหนูแฮมเตอร์อยู่

ส่วนน้องออสซี ด.ช.อนิก รมยานนท์ และน้องเนิร์ธ ด.ญ.บุญยาพร ดำรงธรรมวุฒิ บอกว่าหมาฉลาดกว่า เพราะว่าเชื่อฟังคำสั่งมากกว่าแมว และฝึกได้ง่ายกว่า ซึ่งทั้ง 2 คน ชอบตอนที่ให้สุนัขดมกลิ่นอาวุธที่คนร้ายทิ้งๆ ไว้และดมกลิ่นสิ่งของที่ตำรวจให้ผู้ต้องสงสัย 5 คน สัมผัสมากก่อน ซึ่งสุนัขทุกตัวเลือกถูกหมดเลย

ด้านคุณครูพัชรีพงษ์ ศรีจันทร์ กล่าวว่า เพิ่งทราบปีนี้เป็นปีแรกว่ามีเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ด้วย จึงสนใจและพาเด็กๆ มาชม โดยให้เด็กๆ เป็นคนเลือกกันเองว่าอยากจะชมเรื่องอะไร

“การมาชมภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ทำให้เด็กๆ ได้ความรู้มากขึ้นจากในห้องเรียน ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าความรู้จะมีอยู่แต่ในห้องเรียนหรือในโรงเรียนเท่านั้น ข้างนอกห้องเรียนหรือสื่อต่างๆ ก็เป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้เหมือนกัน และเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่เด็กๆ จะให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ” ครูพัชรีพงษ์ กล่าว

ส่วนคนที่ยังไม่หายสงสัยว่าแมวและสุนัขนั้นใครฉลาดกว่ากันแน่ ร่วมค้นหาคำตอบได้ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 3 ได้ โดยจะฉายอีกครั้งที่พิพิธภัณฑ์เด็กฯ วันที่ 17 พ.ย. เวลา 13.00 น. และวันที่ 23 พ.ย. เวลา 13.00 น.

ส่วนที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ) เอกมัย, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และอุทยานการเรียนรู้ ทีเคพาร์ก เซ็นทรัลเวิร์ลด ก็จัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ เช่นเดียวกัน และสามารถตรวจสอบตารางฉายภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ได้ที่http://www.goethe.de/ins/th/prj/wif/prg/thindex.htm

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000135203

No comments: