Thursday, June 21, 2007

รู้คำตอบแล้วทำไมตุ๊กแกตีนกาว


ทีมวิจัยสหรัฐรู้คำตอบแล้วว่า ทำไมตีนตุ๊กแกถึงเหนียวหนึบไต่ผนังได้ ความรู้ที่ได้เอาไปประยุกต์ใช้ทำกาวประสิทธิภาพสูง และระบบเบรกรถยนต์

นักชีววิทยาจากวิทยาลัยลูอิสแอนด์คลาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ในมลรัฐนโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ศึกษาพบว่า ตีนตุ๊กแกมีขนเหนียวหนืด ที่เรียกว่า เซเต้ ขึ้นปกคลุมอยู่ตามนิ้วเท้า แต่พลังยึดเกาะของตีนตุ๊กแกต่างจากผลิตภัณฑ์กาวทั่วไป เช่น แผ่นโพสต์-อิท ที่เป็นกาวอ่อนๆ ปิดแล้วลอกออกได้ง่าย หรือจะเป็นกาวที่ติดแน่นทนนานอย่างเทปกาวปิดกล่อง เทียบกันแล้วตีนตุ๊กแกติดหนึบเหนียวแน่น แต่ลอกออกได้ง่าย

นักวิจัยได้พิสูจน์ความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของตุ๊กแกตีนกาว โดยวัดแรงที่ใช้ถอนตีนตุ๊กแกออกจากพื้นผิวที่มันเกาะอยู่ และดูว่าเวลาที่ตีนตุ๊กแกเหยียบลงบนพื้นที่มีมุมต่างกันมีผลต่อแรงยึดอย่างไร

พวกเขาพบว่า เมื่อเท้ากดลงบนพื้นผิวทำให้ขนที่ฝ่าเท้าทำมุม 30 องศากับแนวระนาบ เกิดเป็นแรงยึดเกาะมหาศาลขนาดยึดของหนัก 130 กิโลกรัมได้ ครั้นขนปรับทำมุม 90 องศา ผลปรากฏว่าสามารถถอนตีนตุ๊กแกออกจากพื้นผิวได้สบาย และเนื่องจากขนมีโครงสร้างที่แข่งแกร่งจึงไม่เสียหายง่ายๆ เมื่อต้องยกเท้าขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา

นักวิจัย บอกว่า การค้นพบนี้ช่วยแก้ปัญหาด้านวิศวกรรมได้อย่างน่าทึ่ง และคงไม่มีใครคาดถึงหากตุ๊กแกไม่มีวิวัฒนาการมหัศจรรย์นี้ และเป็นไปได้ว่าวิศวกรยานยนต์จะเอาคุณสมบัติพิเศษของตีนตุ๊กแกไปใช้พัฒนาระบบเบรกให้รถยนต์ และจากการคำนวณพบว่า ระบบเบรกตีนตุ๊กแกสามารถหยุดรถที่วิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้ระยะเบรกเพียง 5 เมตร ถึงกระนั้น นักวิจัย กล่าวว่า คงอีกนานกว่าจะมีวัสดุแบบนี้ใช้ในรถยนต์ เพราะยิ่งขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นยิ่งมีปัญหา

แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางออกเลย นักวิจัย กล่าวว่า ถ้าพัฒนาท่อนาโนที่มีความแกร่งและลวดซิลิกอนนาโนได้ ก็อาจนำมาใช้แทนขนตีนตุ๊กแกได้ และอาจผลิตเป็นสินค้าใช้งานได้ในอีก 10 ปี

ปีเตอร์ ฟอร์บส์ ผู้เขียนเรื่อง "ตีนตุ๊กแก" กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันยังไม่มีใครผลิตตีนตุ๊กแกสังเคราะห์ด้วยท่อนาโนแผ่นขนาดใหญ่ได้สำเร็จ เพราะการผลิตท่อนาโนเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนภายใต้อุณหภูมิที่ระดับสูง แต่อย่างน้อยตอนนี้มีทีมวิจัย 4 ทีม ที่ซุ่มทำเรื่องนี้อยู่ หนึ่งในนั้นคือ บริทิช แอโรสเปซ

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/
Link: http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/21/WW54_5407_news.php?newsid=80219

No comments: