Wednesday, August 8, 2007

ลุ้นความสามารถหุ่นยนต์เพื่อแม่ เยาวชน6 ชาติประชันฝีมือในมหกรรมวิทย์

สวทช.จับมือฟีโบ้ยกร่างแผนยุทธศาสตร์หุ่นยนต์เน้นสร้างแขนกลใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมก่อน จากนั้นจะก้าวสู่การพัฒนาหุ่นยนต์เสมือนคน ด้านกระทรวงวิทย์ เชิญชวนคนไทยลุ้นความสามารถ "หุ่นยนต์เพื่อแม่" ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์นี้

ศ.ดร.ยงยุทธยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยกร่างยุทธศาสตร์หุ่นยนต์ โดย รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานคณะกรรมการและ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้)มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมรับผิดชอบในการร่างแผน

ร่างแผนยุทธศาสตร์หุ่นยนต์คาดว่าจะใช้เวลาอีก1 เดือน จึงจะเรียบร้อย เนื้อหาจะกำหนดแนวทางพัฒนาวิทยาการหุ่นยนต์ที่ชัดเจนและเข้มข้น โดยเน้นการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการนำเข้าหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการพัฒนาวิศวกรหุ่นยนต์รุ่นใหม่ และการกระตุ้นความสนใจด้านหุ่นยนต์ในกลุ่มเยาวชน

หลังจากร่างยุทธศาสตร์แล้วเสร็จและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกิจกรรมตามแผนยุทธศาสตร์ คาดว่า 1 ปีหลังจากนั้น ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ ดังเช่น อาซิโม รวมทั้งหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงมนุษย์ได้ในที่สุด

ศ.ดร.ยงยุทธกล่าวอีกว่า ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดแข่งขันการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์นานาชาติ ครั้งที่ 18 (IDC RoBoCon 2007) ผู้เข้าแข่งขันเป็นเยาวชนระดับอุดมศึกษา 44 คน จาก 6 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น สหรัฐ ฝรั่งเศส บราซิล เกาหลีใต้และประเทศไทย แบ่งเป็น 11 ทีม ทีมละ 4 คน

ขณะนี้ทีมผู้เข้าแข่งขันเก็บตัวและรับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ เพื่อสร้างหุ่นยนต์ตามวัสดุที่ได้รับมอบ พร้อมทั้งออกแบบให้หุ่นยนต์สามารถทำตามโจทย์ที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งปีนี้คือ Thank You Mae (Mom) !! ซึ่งหุ่นยนต์จะนำพวงมาลัยและดอกไม้ฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปมอบแด่คุณแม่ โดยรอบชิงชนะเลิศกำหนดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ที่งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ไบเทค กรุงเทพฯ

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

No comments: