Thursday, July 19, 2007

ดวงอาทิตย์ไม่เกี่ยวโลกร้อน มนุษย์เป็นตัวการสำคัญหลังอุตสาหกรรมบูม

นักวิทยาศาสตร์ปิดคดีพิสูจน์ทฤษฎีเจ้าปัญหา ดวงอาทิตย์ไม่ได้มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น เพราะหลังจากตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไป 20 ปี พบว่าดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมาน้อยลง แต่อุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นไม่ลดละ

ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ออกมาวิจารณ์รายงานของคณะกรรมการสากลศึกษาปัญหาโลกร้อนที่ได้ตัดประเด็นรังสีคอสมิกมีส่วนทำให้โลกร้อนไว้ในรายงาน

ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่า รังสีคอสมิกซึ่งเป็นอนุภาคที่มีพลังงานมีกำเนิดจากนอกโลกมีบทบาทช่วยให้เมฆก่อตัวโดยอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ทำให้ไอน้ำเกิดการควบแน่น เมื่อเมฆก่อตัวอากาศในโลกจึงเย็นสบาย แต่สนามแม่เหล็กที่ปลดปล่อยออกมาจากปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์ขัดขวางไม่ให้รังสีคอสมิกส่องมายังชั้นบรรยากาศโลกได้เต็มที่ เมฆจึงก่อตัวได้น้อยลง และอุณหภูมิโลกสูงขึ้น

ไมค์ ลอควูด นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการรูเธอฟอร์ด-แอพเพลตัน ของอังกฤษรายงานว่า ในอดีตรังสีจากดวงอาทิตย์อาจส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลก แต่ยุคนี้ไม่เกี่ยว เขาเชื่อว่าข้อสรุปนี้คงช่วยให้เลิกเถียงกันเสียทีว่าโลกร้อนเป็นเพราะดวงอาทิตย์

เขาได้ใช้การวิเคราะห์อย่างง่ายๆ โดยดูความเข้มของพลังงานจากดวงอาทิตย์และรังสีคอสมิกช่วง 30-40 ปีก่อน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับกราฟที่บันทึกอุณหภูมิพื้นผิวโดยเฉลี่ยของพื้นโลก ซึ่งช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 0.4 องศาเซลเซียส
ข้อเท็จจริงที่เขาพบก็คือ การปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์มักแปรเปลี่ยนขึ้นสูงสุดลงต่ำสุดทุก 11 ปี แต่รอบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นระยะยาว ขณะที่ในคริสตศตวรรษที่ 20 พลังงานจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาก และเพิ่มในระดับที่คงที่

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดใน พ.ศ. 2528 กลับตาลปัตรไปทางตรงกันข้าม ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมาน้อยลง แต่ช่วงดังกล่าวอุณหภูมิโลกยังร้อนขึ้นพอๆ กับช่วง 100 ปีที่แล้ว หมายความว่า อุณหภูมิโลกที่ร้อนนี้ช่วง 20-40 ปีก่อน ไม่ได้เป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์บนดวงอาทิตย์ แต่เป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์บนโลกดังที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการสากลศึกษาปัญหาภาวะโลกร้อน (ไอพีซีซี) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

พอได้วิเคราะห์ข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วพบว่า อิทธิพลจากดวงอาทิตย์ส่งผลต่อโลกจริง แต่เป็นยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่จะเอามาใช้กับโลกปัจจุบันไม่ได้แล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

No comments: