Tuesday, July 10, 2007

‘เนคเทค’เล็งตั้งทีมหนุนแอนิเมชัน

เนคเทคเผยแนวคิดดึงพันธมิตรเอกชนตั้งคอนซอร์เตียมดันตลาดแอนนิเมชันเชื่อมโยงครบวงจร ทั้งเดินหน้าเจรจาสถาบันการศึกษาญี่ปุ่น นำหลักสูตรแอนิเมชันระดับโลกสู่ห้องเรียนไทยดันสร้างฐานเทียบตลาดโลก

นายวิรัช ศรเลิศล้ำวานิช ผู้อำนวยการโปรแกรมซอฟแวร์เพื่อสารสนเทศและอุปกรณ์เคลื่อนที่ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า เนคเทคเตรียมจัดตั้งคอนซอร์เตียมแอนิเมชัน รวมกลุ่มพันธมิตรเอกชน ทั้งภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษา ร่วมผลักดันการเติบโตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกราฟฟิกและภาพเคลื่อนไหว (แอนิเมชัน) ในประเทศให้เชื่อมโยงการทำงานได้อย่างครบวงจร

เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีหน่วยงานรับผิดชอบหลักอย่างเนคเทค และซิป้าช่วยสนับสนุนการพัฒนาของอุตสาหกรรมไอทีทั้งภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะยังขาดความร่วมมือและการประสานงานที่ดี

ทั้งยังขาดการยอมรับจากคนในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าซอฟต์แวร์จากต่างชาติมากกว่า 95% ส่งผลให้มูลค่าตลาดคงที่ หรือเติบโตน้อยมาก โดยคาดว่าปีนี้มูลค่าตลาดแอนิเมชันไทยยังคงที่ระดับกว่า 1,000 ล้านบาท

“หากการจัดตั้งประสบความสำเร็จ ทำให้วงจรการพัฒนาแอนิเมชันบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่การคิด การพัฒนา จนถึงแผนการขาย โอกาสทางการตลาดและยังสามารถแชร์หลักสูตรการพัฒนาการเรียนการสอนด้านนี้ง่ายขึ้น ซึ่งคาดว่ากลางปีงบประมาณหน้าน่าจะได้เห็น”เขา กล่าว

ล่าสุดเนคเทคเดินหน้าเจรจากับสถาบันการศึกษา 2 แห่งในญี่ปุ่นคือ “ดิจิทัล ฮอลลีวู้ด ยูนิเวอร์ซิตี้” และ “โอซากา อิเล็กทริค แอนด์ คอมมิวนิเคชัน” เพื่อนำหลักสูตรการเรียนการสอนด้านแอนิเมชันระดับนานาชาติมาใช้ในไทย

ปัจจุบันหลักสูตรการเรียนการสอนแอนิเมชันในไทยยังมีไม่มาก และคุณภาพอาจยังไม่เทียบเท่าหลักสูตรระดับนานาชาติ ประกอบกับที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยนำหลักสูตรของต่างชาติเข้ามาสอนให้นักเรียน นักศึกษา ซึ่งคาดว่า หากตกลงได้ จะนำร่องกับมหาวิทยาลัยพันธมิตร 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ก่อนต่อยอดสู่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่สนใจ

ทั้งนี้ ช่วงแรกจะเน้นหลักสูตรการออกแบบเนื้อหา การใช้เครื่องมือ 2 ดี และ 3 ดี และการทำโปรดักชั่น สำหรับการพัฒนางานแอนิเมชันบนมือถือเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

No comments: