Monday, May 14, 2007

เปิด “ตึกลูกเต๋า” จัดค่ายวิทย์ต้อนรับเยาวชนจาก 3 ชายแดนใต้


เปิดค่ายวิทยาศาสตร์ต้อนรับเยาวชนจากโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 6 ผอ.อพวช.หวังเยาวชนได้เก็บเกี่ยวความรู้และความเข้าใจ “วิทยาศาสตร์” กลับไปใช้ในชีวิตประจำวันและเผยแพร่ในพื้นที่บ้านเกิด ด้านเยาวชนเผย ประทับใจโครงการ ตื่นเต้นและอยากตักตวงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พร้อมนำไปบอกต่อเพื่อนๆ

กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับกิจกรรมในโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 6 ที่ได้พาน้องๆ จาก 3 จังหวัดภาคใต้ 120 คนมาเยี่ยมเยียนองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ทางโครงการฯ ได้พาน้องๆ ไปทำกิจกรรมอื่นๆ มาระยะหนึ่งแล้ว โดยระหว่างวันที่ 14 -17 พ.ค.นี้ อพวช.ร่วมกับกลุ่มบริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดกิจกรรมต่างๆไว้ให้เยาวชนได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับวิทยาศาสตร์กันอย่างเต็มอิ่ม โดยมีพลเรือเอกประเจตน์ ศิริเดช ประธานอนุกรรมการบริหารโครงการฯ ร่วมพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 14 พ.ค.

ดร.พิชัย สนแจ้ง ผอ.อพวช. กล่าวว่า การมาร่วมกิจกรรมกับ อพวช.คราวนี้ อพวช.หวังว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เยาวชนค่ายได้รู้จักวิธีการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และองค์ความรู้ต่างๆ อย่างเป็นระบบด้วยตัวเอง และชี้ให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องยากแต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ อีกทั้งเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน โดยกิจกรรมค่ายจะเน้นที่กิจรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยเยาวชนสามารถใช้หลักเหตุผลมาวิเคราะห์สิ่งที่พบเห็นได้

ตัวอย่างกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น กิจกรรมการสกัดดีเอ็นเอ ซึ่งเยาวชนอาจเข้าใจว่ายาก แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองในห้องปฏิบัติการ และรวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อาทิ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา กิจกรรมวอล์คแรลลี่ และกิจกรรมจรวดขวดน้ำ ขณะเดียวกันเยาวชนยังจะได้สัมผัสกับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเอง ซึ่ง อพวช.หวังว่าเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้จะกลับไปยังบ้านเกิดขงตัวเองแล้วเป็นแกนนำที่จะช่วยนำวิทยาศาสตร์ไปเผยแพร่ให้แก่ชุมชนต่อไปด้วย

“ในค่ายนี้ เยาวชนจะได้มาเรียนรู้และทำความเข้าใจกับคำว่าวิทยาศาสตร์ ทั้งที่เป็นองค์ความรู้และส่วนที่เป็นกระบวนการทักษะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในอนาคต นอกจากนั้น กิจกรรมต่างๆ ภายในค่ายยังสร้างความมั่นใจให้พร้อมที่คนไทยจะอยู่ร่วมกันโดยไม่มีเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมมาปิดกั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดี เพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์ในสังคมได้” ดร.พิชัย กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังพิธีเปิดค่าย นายมูฮัมหมัดอักบาร์ หะยีเยะ หรือ “อักบาร์” เยาวชนจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา เผยว่า การมาร่วมค่ายสานใจไทยสู่ใจใต้รุ่น 6 ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ตัวเองได้มาร่วมกิจกรรม ซึ่งทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น และจากการเข้าร่วมโครงการไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตัวเองก็ได้มีโอกาสเดินป่าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ด้วย ซึ่งทำให้เห็นธรรมชาติและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย

“นอกจากนั้น พวกผมยังได้มีโอกาสเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพฯ และได้อยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ ซึ่งทำให้พบว่า แม้จะมีวิถีชีวิตแตกต่างจากครอบครัวมุสลิมในภาคใต้ แต่คนไทยก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข” อักบาร์ กล่าวพร้อมว่า สำหรับในวันปิดค่าย (17 พ.ค.) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และผู้ให้กำเนิดโครงการฯ พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรี จะได้มาเยี่ยมค่ายและมอบประกาศนียบัตรให้แก่เยาวชน โดยในความเห็นส่วนตัวแล้ว พล.อ.เปรม เป็นบุคคลที่สุภาพเรียบร้อย เป็นผู้นำและตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน

ส่วนการเข้าค่ายกิจกรรมที่ อพวช.นี้ อักบาร์บอกว่า ทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่สนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ การทดลอง และการค้นคว้าอยู่แล้ว โดยอาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันคืออายุรแพทย์ เพื่อรักษาพยาบาลเด็กๆ ซึ่งก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้มากเพราะมีผลการเรียนค่อนข้างดี

ส่วน น.ส.นูรไอนูน เจ๊ะเตะ หรือ “นุช” อีกหนึ่งเยาวชนจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เสริมว่า สำหรับการมาร่วมกิจกรรมของนุชเองก็เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งแรกเช่นกัน โดยเป็นกิจกรรมที่ตัวเองและเพื่อนๆ สนใจอยากเข้าร่วมโครงการมานานแล้ว เพราะเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก แตกต่างจากกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยทำก่อนหน้านี้ ซึ่งมักเป็นกิจกรรมของโรงเรียนจัดขึ้นทุกครั้ง โดยครั้งนี้นุชจึงสมหวังแล้วที่ได้มาร่วมกิจกรรมสมดังที่ตั้งใจไว้

“ในกิจกรรมครั้งนี้ หนูก็ได้พบกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านก็พูดกับเยาวชนเป็นอย่างดี พอเห็นท่านแล้ว ทีแรกก็ร้องไห้เพราะปลื้มใจที่ได้พบผู้หลักผู้ใหญ่ที่สำคัญๆ ของประเทศ โดยจากความรู้ที่ได้ เยาวชนค่ายก็จะนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ในชุมชนได้รู้ว่าประเทศไทยยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ก็จะทำให้เรารู้เพิ่มมากขึ้น”

“การมาที่ค่ายวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ โดยส่วนตัวหนูก็เป็นที่ชอบเรียนชีววิทยาก็จะพยายามเก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ กลับไปได้ แม้ว่าวันนี้มันอาจยังไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่วันหนึ่งมันก็อาจจะจำเป็นสำหรับเรา เช่นความรู้เกี่ยวกับป่าไม้ที่มีประโยชน์มาก” นุช เผยและทิ้งท้ายว่า ส่วนอนาคตแล้ว นุชก็เป็นอีกคนที่อยากมีอาชีพแพทย์เหมือนอักบาร์ เพราะต้องการรักษาผู้คนในบ้านเกิดตัวเอง เพราะจากการสำรวจพบว่าแพทย์ในต่างจังหวัดยังมีไม่เพียงพอ ตัวเองจึงจะพยายามเรียนให้ดีที่สุดเพื่อที่จะเป็นแพทย์ให้ได้

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000055008

No comments: