Tuesday, January 15, 2008

สวทช.คลอดโรงงานนาโน ผลิตเส้นใยคุณสมบัติพิเศษป้อนนักวิจัย

ศูนย์นาโนเทคทุ่ม500 ล้านบาท สร้างต้นแบบโรงงานผลิตเส้นใยคุณสมบัติพิเศษ มุ่งค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีไทยสำหรับส่งต่อให้ภาคอุตสาหกรรม เผยผลผลิตเส้นใยที่ได้ส่งให้" ราชมงคลธัญบุรี" ทดสอบผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอนาโน

ศ.ดร.วิวัฒน์ตัณฑะพาณิชกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์นาโนมีโครงการที่จะลงทุนด้านโรงงานเส้นใย ซึ่งจะผลิตเส้นใยที่มีลักษณะพิเศษด้วยเทคโนโลยีนาโน สำหรับใช้ประโยชน์ด้านการวิจัย โดยเส้นใยที่ได้จะส่งต่อให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ไปประยุกต์ขึ้นรูปเป็นผืนผ้า พิมพ์ลายรวมถึงพัฒนาเป็นสินค้านาโน

เป้าหมายของโรงงานนี้คือการพัฒนาเทคนิคและกระบวนการผลิตเส้นใยผสม ระหว่างเส้นใยโพลิเอสเตอร์กับเส้นใยไนลอน หรือเส้นใยโพลิเอสเตอร์ กับเส้นใยโพลิเมอร์ชนิดอื่น จากนั้นเคลือบด้วยสารอนุภาคนาโนทำให้เส้นใยมีคุณสมบัติโดดเด่น ในด้านความแข็งแรงทนทาน เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีคุณสมบัติตามต้องการ เช่น ทนร้อนทนการเผาไหม้ ต้านแบคทีเรียหรือเหนียวเทียบเท่าลวดสลิง เป็นต้น

โครงการโรงงานเส้นใยต้นแบบนี้ได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้วจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัด พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณ 500 ล้านบาทในระยะ 5 ปี และจากการหารือในเบื้องต้นอาจจะซื้อโรงงานสิ่งทอสำเร็จรูปมาประยุกต์ใช้เป็นโรงงานต้นแบบ ซึ่งจะประหยัดกว่าการลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่

"ค่าก่อสร้างที่ประหยัดได้จะนำไปใช้ลงทุนด้านเทคโนโลยีซึ่งราคาค่อนข้างสูงหรือประมาณ 60 ล้านบาท ขณะที่งานวิจัยที่จะส่งต่อให้ภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องทดลองผลิตในปริมาณที่มากพอ จึงกำหนดให้โรงงานต้นแบบนี้มีกำลังการผลิตเส้นใยที่ 10-20 กิโลกรัมต่อชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มผลิตในสายการผลิตแรกได้ราวปี 2552"

ผู้อำนวยการศูนย์นาโนกล่าวอีกว่าในวันที่ 26 มกราคมนี้ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกียวโตในญี่ปุ่น จัดการประชุมเชิงวิชาการเผยแพร่วิทยาการใหม่ที่มีผลกระทบต่อสังคม เช่น เทคโนโลยีนาโน พลังงานทดแทนและพลังงานอนาคต โดยมีนักวิจัยจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนร่วมนำเสนอผลงาน

ประโยชน์ที่นักวิจัยไทยจะได้จากเวทีประชุมนอกจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักวิจัยต่างชาติ ที่สนใจศึกษาในเรื่องเดียวกันแล้ว ยังได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถพัฒนาต่อยอดงานวิจัยที่ทำอยู่ในปัจจุบันได้ ศ.ดร.วิวัฒน์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

No comments: