ปี2550 นักวิจัยจากโลกจิ๋วแสดงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนาโน ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบต่างๆ และความก้าวหน้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสิ่งทอ ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจาก "เสื้อนาโน" ที่สร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อปีก่อนหน้านั้น
o แว่นสายลับ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังส่งมอบผลงานแว่นนาโนคริสตอลให้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ใช้สวมระหว่างปฏิบัติงานการตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เลนส์ของแว่นเคลือบด้วยอณูของผลึกอินเดียมออกซิไนไตรด์ ทำให้เลนส์มีคุณสมบัติพิเศษในการตัดแสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกันได้ ช่วยให้มองเห็นหลักฐานแฝงได้ในครั้งเดียวที่สวม ทั้งคราบเลือด คราบน้ำลาย คราบอสุจิ ลายนิ้วมือ หรือแม้แต่เส้นใยต่างๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนสลับใช้แว่น 3 อัน มองหาอสุจิแยกจากแว่นมองหาลายนิ้วมือและคราบเลือด
o ตู้ปลาใสปิ๊ง แรมเดือน
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติเคลือบเม็ดเซรามิกด้วยสารไทเทเนียมไดออกไซด์ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย แล้วใช้ตกแต่งตู้ปลาแทนก้อนกรวด ผ่านไป 1 เดือนปลายังคงอยู่รอดปลอดภัย สารดังกล่าวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและตะไคร่น้ำ จึงยืดเวลาทำความสะอาดจากสัปดาห์ละครั้งเป็นเดือนละครั้งได้ ทำให้ประหยัดทั้งน้ำและเวลาทำความสะอาดตู้
o สีทนได้
สีทาบ้านแบรนด์ทีโอเอส่ง"ชิลด์ วัน นาโน ซิลิโคน" สีกันคราบออกสู่ตลาดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยรวมคุณสมบัติเด่นของนาโนซิลิโคน ป้องกันน้ำแทรกซึมฝังตัวในผนัง ลดความชื้นสะสม ปิดโอกาสเชื้อราเติบโต ทนทานต่อการขัดถู ไม่ลอกล่อนง่าย แถมยังผสมสารเคลือบลื่นป้องกันคราบน้ำมัน ทำให้คงคุณสมบัติกันคราบได้ตลอดอายุการใช้งาน ผลงานวิจัยโดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยว้าคเกอร์ เคมิคัลส์ ในเยอรมนี
o จีวร-เสื้อยุงแขยง
จีวรและเสื้อกันยุงผลิตภัณฑ์ของบริษัท คัฟเวอร์ แนนท์ จำกัด ถือเป็นรายแรกของโลกและเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก เส้นใยผ้าเคลือบด้วยแคปซูลจิ๋ว ซึ่งบรรจุอณูน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรที่ยุงเกลียด แคปซูลจะทยอยแตกตัวปล่อยกลิ่นยุงเกลียดออกมา ผ่านการทดสอบกันยุงได้กว่า 97% และหลังผ่านการซัก 30-50 ครั้ง ฤทธิ์ของไมโครแคปซูลจะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ อนาคตพบกับเทคโนโลยีในเครื่องแบบทหาร เครื่องแบบ รปภ. ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานเสี่ยงต่อการถูกยุงกัด รวมทั้งชุดผู้ป่วย เพราะโรงพยาบาลฉีดยาฆ่ายุงไม่ได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Monday, December 31, 2007
สินค้านาโนจิ๋วแต่แจ๋ว 'ฮอต' รับปีหนู
ยุคนี้สินค้าที่พะยี่ห้อ"นาโนเทคโนโลยี" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และเป็นจุดขายที่ผู้ผลิตสินค้านำมาสร้างจุดต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์
ที่เมืองนอกสินค้าที่มีส่วนประกอบระดับอนุภาคมีขายมานานแล้วโดยเฉพาะบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำ อย่างลอรีอัล ชิเซโด และโคเซ่ ที่ปรับเนื้อครีมให้ละเอียดระดับนาโนเมตร (1 นาโนเมตร = 1/ พันล้านส่วนเมตร) เพื่อให้เนื้อครีมซึมผ่านชั้นผิวหนัง ไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้เนื้อผิวลึกถึงชั้นผิวหนังเบื้องล่าง บ้างใช้ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้ผลดีกว่าครีมที่ทาแล้วเปื้อนอยู่บนแขนขา
ช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าในไทยอาศัยคุณสมบัติขนาดจิ๋วของสาร มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เช่นกัน ที่รู้จักกันมากคือเสื้อซิลเวอร์นาโน ที่สวมใส่แล้วปราศจากกลิ่นอับชื้น เนื่องจากอนุภาคเงินที่เคลือบอยู่บนเนื้อผ้า จะไปจับและทำลายเซลล์พวกแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยทดลองใช้อนุภาคนาโนเคลือบผ้าไหมกันเปื้อนคราบและน้ำ
งานวิจัยและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมานิยมใช้ซิลเวอร์นาโนหรืออนุภาคเงิน และไททาเนียม ไดออกไซด์ เป็นสารเคลือบพื้นผิวเพื่อทำลายการเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังใช้กับเครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศที่บางยี่ห้อโฆษณาว่าสามารถกำจัดเชื้อไข้หวัดนกได้ด้วย
"งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีนาโนในปี 2551 คงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ศ.กิตติคุณดร.วิวัฒน์ ตัณฑะพานิชกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) กล่าว
ดร.วิวัฒน์เป็นผู้หนึ่งที่คิดค้น "ถ่านกัมมันต์" จากยางรถยนต์เก่าและกากกาแฟ เพื่อใช้เป็นตัวกรองน้ำเสียจากโรงงาน ถ่านกัมมันต์ที่คิดค้นมีขนาดเล็กเพียง 2 นาโนเมตร สามารถจับธาตุโลหะหนักได้ดีกว่าของนำเข้าจากต่างประเทศ
ผู้อำนวยการนาโนเทคมองว่า งานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีจากนี้ไป จะเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือที่เรียกว่า "นาโนเมดิซิน" มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนายาเฉพาะบุคคลและระบบนำส่งยา
รูปแบบการรักษาโรคตลอดช่วงที่ผ่านมาเน้นการพัฒนาตัวยาครอบคลุมการรักษาประชากรกลุ่มใหญ่ ไม่จำกัดเพศ วัย ตัวบุคคล เช่น ยาแก้ปวด แก้ไข้ เป็นต้น แต่อนาคต รูปแบบการรักษาให้ความสำคัญกับ "พันธุกรรม" ของแต่ละคนมากขึ้น การตรวจวินิจฉัยของแพทย์จะส่องไปดูถึงระดับยีน เพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคในเฉพาะคน ก่อนดำเนินการรักษาด้วยรูปแบบเฉพาะ
ยกตัวอย่างแพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่านาโนอาร์เรย์ เพื่อตรวจค้นยีนหรือดีเอ็นเอจากตัวอย่างเลือด ซึ่งใช้ในปริมาณน้อยกว่าการตรวจวินิจฉัยในปัจจุบัน แต่ได้ผลเร็วขึ้น
งานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์ไทยและต่างประเทศกำลังค้นคว้ากันอย่างจริงจังอีกประเภทคือระบบนำส่งยา ซึ่งจะเป็นการพัฒนาสำคัญในปีนี้
ระบบนำส่งยาให้ประสิทธิภาพการรักษาได้ดีกว่าการรับประทานยาหรือฉีดยาอย่างที่รักษากันทั่วไป เนื่องจากยากินจะกระจายตัวออกฤทธิ์ระหว่างทางก่อนถึงอวัยวะที่ติดเชื้อโรค เฉพาะอย่างยิ่งยาสำหรับโรคมะเร็ง ที่อาจทำลายเซลล์ดีระหว่างทางที่จะไปทำลายเซลล์เนื้อร้าย ระบบนำส่งยาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยมีระบบนำวิถีชี้ตำแหน่งให้ยาเดินทางไปปล่อยสารออกฤทธิ์ที่เซลล์มะเร็งตรงจุด
นอกจากนี้นักวิชาการทั่วโลกเห็นพ้องกันว่า สามารถใช้นาโนเทคโนโลยีแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานได้ เช่นงานวิจัยควอนตัมโซลาร์เซลล์ โดยทีมนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพลังงานไฮโดรเจน (เซลล์เชื้อเพลิง) ที่นักวิจัยจากหลายสถาบันกำลังดำเนินการค้นคว้า
"เทคโนโลยีนาโนเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือก เช่น หากไฮโดรเจนไม่พอ ก็อาจนำก๊าซธรรมชาติหรือเอทานอล มาผ่านกระบวนการรีฟอร์มมิ่ง โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาคุณภาพสูงเปลี่ยนให้เป็นก๊าซไฮโดรเจน" ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค อธิบาย
ทีมวิจัยในสังกัดศูนย์นาโนเทคยังศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยาอนุภาคนาโนสำหรับใช้กับพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น โฟโตคาทาลิสต์ ที่ใช้ในการบำบัด เคลือบเสื้อผ้าป้องกันแบคทีเรีย และเคลือบฟิล์มปิดผลไม้ให้สุกช้าลง อีกทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการสร้างโรงงานต้นแบบ ที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดนี้ในการบำบัดน้ำเสีย
ดร.วิวัฒน์เพิ่มเติมว่า เทคโนโลยีนาโนยังประยุกต์ใช้ในเวชสำอางอีกด้วย เช่น เทคโนโลยีนาโนอีมัลชั่น นำมากักเก็บประสิทธิภาพของสารประทินผิว โดยใช้ฟิล์มไคโตซานอนุภาคนาโนเป็นตัวเก็บ ทำให้สารสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ และค่อยๆ ปลดปล่อยประสิทธิภาพออก ทั้งนี้ มีแผนจัดตั้งเป็นกลุ่มความร่วมมือวิจัย ดึงมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ ที่สนใจด้านเวชสำอางมาวิจัยร่วมกัน
ที่ผ่านมานาโนเทคก็ยังมีผลงานเด่นๆ เช่น ระบบตรวจวินิจฉัยโดยใช้นาโนเซ็นเซอร์ เพื่อตรวจหาปริมาณน้ำตาลซูโครสในสารละลาย ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ กำลังจะจดสิทธิบัตรร่วมกับสถาบันวิจัยเอไอเอสทีของญี่ปุ่น, แว่นตานาโนคริสตัลที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พัฒนาขึ้นให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจหาคราบเลือดหรือสารคัดหลั่ง เป็นต้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Wednesday, December 19, 2007
คืนนี้ตั้งแต่ 2 ทุ่มมองฟ้าชม "ดาวอังคาร" ยามเข้าใกล้โลก
นักดาราศาสตร์ทั่วโลกทั้งตัวจริงและสมัครเล่นตื่นเต้นกันอีกครั้งในรอบ 2 ปี ที่จะมีปรากฏการณ์ดาวอังคารเข้าใกล้โลกให้ได้ชมกันในช่วงหัวค่ำวันนี้ หลายหน่วยงานเตรียมจัดกิจกรรมและตั้งกล้องโทรทรรศน์ชมดาวอังคารกันอย่างใกล้ชิด
ทุกๆ 2 ปี จะมีปรากฏการณ์ดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลก และปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เราสามารถมองเห็นดาวอังคารสุกสว่างอยู่กลางท้องฟ้ามากกว่าทุกคืน โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำวันที่ 19 ธ.ค. 2550 ที่ดาวอังคารจะโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 2 ปี
น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว ผอ.ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ หรือลีซา (LESA) เปิดเผยว่า ที่เรียกว่าดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลกแล้วทำให้เราสังเกตเห็นดาวอังคารชัดเจนและสว่างมากกว่าปกตินั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะโลกกำลังโคจรเข้าใกล้ดาวอังคาร ซึ่งวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์มีระยะทางสั้นกว่าของดาวอังคาร และโคจรด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน ทำให้ทุกๆ 2 ปี โดยประมาณ โลกจะโคจรแซงหน้าดาวอังคารอีก 1 รอบ
วันที่ 19 ธ.ค. นี้ เป็นวันที่โลกกำลังจะโคจรแซงหน้าดาวอังคารอีกครั้ง โคจรในระยะห่างกันประมาณ 88.17 ล้านกิโลเมตร โดยจะมองเห็นเป็นดาวดวงสีส้มแดงสว่างไสวอยู่เหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันออกช่วงหัวค่ำประมาณหลัง 18.00 น. อยู่ใกล้กับกลุ่มดาวคนคู่หรือเจมิไน (Gemini) และสังเกตเห็นได้ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า ซึ่งดาวอังคารจะลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก โดยช่วงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือเวลาประมาณ 20.00 น. และปรากฏการณ์ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกมากที่สุดจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค. 2553 และในวันที่ 25 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ดาวอังคารจะอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามและทำมุม 180 องศา กับดวงอาทิตย์พอดีโดยมีโลกเป็นจุดศูนย์กลาง
ทั้งนี้ ลีซาได้จัดกิจกรรม "มหกรรมโลกเข้าใกล้ดาวอังคาร" ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.00 น. ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตามวันและเวลาดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 4 อยู่ถัดจากโลกในระบบสุริยะ เมื่อสังเกตจากโลกจะมองเห็นดาวอังคารเป็นสีส้มแดงโดดเด่นอยู่บนท้องฟ้า ทำให้คนสมัยก่อนยกย่องบูชาดุจเทพเจ้า ต่อมาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มนุษย์รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดาวอังคารเพิ่มขึ้นมากมาย
ด้วยวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่ใกล้เคียงกับโลก อีกทั้งดาวอังคารยังมีพื้นผิวเป็นของแข็ง มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม มีฤดูกาล และมีร่องรอยของแหล่งน้ำในอดีตกาล ทำให้มนุษย์โลกเชื่อมายาวนานแล้วว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร ทว่าจนบัดนี้มนุษย์ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ดี ความพยายามค้นหาชีวิตบนดาวอังคารยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ แม้จะยังไม่พบสักชีวิต แต่ข้อมูลของดาวอังคารที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะเป็นกุญแจไขความลับของดาวแดงและจักรวาลให้เปิดแง้มมากขึ้นทีละน้อย และในโอกาสดีที่โลกและดาวอังคารโคจรอยู่ใกล้กันในทุกๆ 2 ปี กว่า นักดาราศาสตร์ทั่วโลกจึงไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้ค้นหาความลับของดาวแดง ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่สามารถมองผ่านกล้องโทรทรรศน์จากพื้นโลกแล้วเห็นพื้นผิวบนดาวอังคาร
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000150491
Tuesday, December 18, 2007
ไบโอดีเซลจากสาหร่าย อาวุธกู้โลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐใกล้ทำฝันให้เป็นจริง เปลี่ยนสาหร่ายให้เป็นไบโอดีเซลใช้ได้กับรถเครื่องยนต์ดีเซล และเครื่องบินไอพ่น ทีมวิจัยจากห้องแล็บมหาวิทยาลัยมินเนโวตา พบว่า สาหร่ายทางชนิดผลิตน้ำมันได้ถึง 50% และสามารถเปลี่ยนเป็นไบโอดีเซล และเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นได้ด้วย แต่ติดปัญหาอยู่ที่ต้นทุนการผลิตที่ยังสูงอยู่ โดยหน่วยงานด้านกลาโหมสหรัฐหน่วยหนึ่งประมาณว่าราว 700 บาทต่อแกลลอน (4 ลิตร)
ผู้อำนวยการหน่วยงานวิจัยพลังงานทดแทนของ บริษัท ฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล มองว่า ถ้าสามารถผลิตน้ำมันจากสาหร่ายด้วยต้นทุนเพียง 70 บาทต่อ 4 ลิตร นั่นแหละถึงจะคุ้มและเป็นความหวังที่หลายคนตั้งตารอดู
ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างแข่งกันหาสายพันธุ์สาหร่ายที่เหมาะสมเพื่อมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงได้ในเชิงพาณิชย์
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา เป็นอีกทีมหนึ่งเช่นกันที่คิดค้นวิธีเพาะสาหร่ายให้ได้จำนวนมากพอนำมาเข้าสู่กระบวนการ รวมถึงค้นหาวิธีสกัดน้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยได้รับงบสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ บริษัทน้ำมัน บริษัทด้านสาธารณูปโภค และบริษัทร่วมทุนจำนวนมาก
กระบวนการเปลี่ยนน้ำมันจากสาหร่ายให้เป็นไบโอดีเซล ใช้กระบวนการเดียวกับวิธีเปลี่ยนน้ำมันพืชไปเป็นไบโอดีเซล แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงและยากจะทำให้ถูกลงได้ เนื่องจากยังไม่มีใครคิดกระบวนการแปรรูปตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงออกมาเป็นน้ำมันพร้อมใช้ ตอนนี้ทำได้แค่ระดับห้องเล็บเท่านั้น
ถ้าลดต้นทุนได้จริง การผลิตน้ำมันจากสาหร่ายถือว่าได้เปรียบพืชพลังงานชนิดอื่นหลายด้าน ทั้งเติบโตเร็ว และใช้พื้นที่น้อยกว่า เทียบเคียงกันแล้ว ข้าวโพด 2 ไร่ครึ่งผลิตเชื้อเพลิงได้ถึง 1.5 หมื่นแกลลอน
ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมินเนโซตาทีมวิจัยกำลังพัฒนาวิธีปลูกสาหร่ายให้ได้จำนวนมาก และพบสายพันธุ์ที่เหมาะสมแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างคิดว่าจะนำของเหลือหลังจากสกัดน้ำมันมาทำอะไรต่อไปได้อีก
ทั้งนี้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผิวน้ำที่เต็มไปด้วยสาหร่ายในแท็งก์สูง หรือสระกลางแจ้ง จะได้ผลผลิตไม่ดีนัก นักวิจัยจึงออกแบบระบบที่เรียกว่า “โฟโตไบโอรีแอคเตอร์” ที่ให้แสงสว่างและสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับสาหร่ายน้ำมัน
สาหร่ายของทีมนี้ปลูกในบ่อกักน้ำเสียโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากมีฟอสเฟต และไนโตรตปนเปื้อนอยู่ สารเคมีทั้งสองชนิดเป็นสารพิษต่อแม่น้ำ ลำคลอง แต่กลับเป็นปุ๋ยชั้นเลิศสำหรับทำฟาร์มสาหร่าย ทีมชุดนี้จึงคิดทำฟาร์มสาหร่ายใกล้กับโรงบำบัดเสียเลย เพื่อให้เกิดขึ้นหลังจากนำตะกอนของเสียมาเผา
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ผู้อำนวยการหน่วยงานวิจัยพลังงานทดแทนของ บริษัท ฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล มองว่า ถ้าสามารถผลิตน้ำมันจากสาหร่ายด้วยต้นทุนเพียง 70 บาทต่อ 4 ลิตร นั่นแหละถึงจะคุ้มและเป็นความหวังที่หลายคนตั้งตารอดู
ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างแข่งกันหาสายพันธุ์สาหร่ายที่เหมาะสมเพื่อมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงได้ในเชิงพาณิชย์
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา เป็นอีกทีมหนึ่งเช่นกันที่คิดค้นวิธีเพาะสาหร่ายให้ได้จำนวนมากพอนำมาเข้าสู่กระบวนการ รวมถึงค้นหาวิธีสกัดน้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยได้รับงบสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ บริษัทน้ำมัน บริษัทด้านสาธารณูปโภค และบริษัทร่วมทุนจำนวนมาก
กระบวนการเปลี่ยนน้ำมันจากสาหร่ายให้เป็นไบโอดีเซล ใช้กระบวนการเดียวกับวิธีเปลี่ยนน้ำมันพืชไปเป็นไบโอดีเซล แต่ต้นทุนการผลิตยังสูงและยากจะทำให้ถูกลงได้ เนื่องจากยังไม่มีใครคิดกระบวนการแปรรูปตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงออกมาเป็นน้ำมันพร้อมใช้ ตอนนี้ทำได้แค่ระดับห้องเล็บเท่านั้น
ถ้าลดต้นทุนได้จริง การผลิตน้ำมันจากสาหร่ายถือว่าได้เปรียบพืชพลังงานชนิดอื่นหลายด้าน ทั้งเติบโตเร็ว และใช้พื้นที่น้อยกว่า เทียบเคียงกันแล้ว ข้าวโพด 2 ไร่ครึ่งผลิตเชื้อเพลิงได้ถึง 1.5 หมื่นแกลลอน
ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมินเนโซตาทีมวิจัยกำลังพัฒนาวิธีปลูกสาหร่ายให้ได้จำนวนมาก และพบสายพันธุ์ที่เหมาะสมแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างคิดว่าจะนำของเหลือหลังจากสกัดน้ำมันมาทำอะไรต่อไปได้อีก
ทั้งนี้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผิวน้ำที่เต็มไปด้วยสาหร่ายในแท็งก์สูง หรือสระกลางแจ้ง จะได้ผลผลิตไม่ดีนัก นักวิจัยจึงออกแบบระบบที่เรียกว่า “โฟโตไบโอรีแอคเตอร์” ที่ให้แสงสว่างและสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับสาหร่ายน้ำมัน
สาหร่ายของทีมนี้ปลูกในบ่อกักน้ำเสียโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากมีฟอสเฟต และไนโตรตปนเปื้อนอยู่ สารเคมีทั้งสองชนิดเป็นสารพิษต่อแม่น้ำ ลำคลอง แต่กลับเป็นปุ๋ยชั้นเลิศสำหรับทำฟาร์มสาหร่าย ทีมชุดนี้จึงคิดทำฟาร์มสาหร่ายใกล้กับโรงบำบัดเสียเลย เพื่อให้เกิดขึ้นหลังจากนำตะกอนของเสียมาเผา
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Monday, December 17, 2007
อังกฤษตั้งเป้า ปี 2563 ทุกบ้านใช้ไฟฟ้าจากพลังงานลม
เอเยนซี/บีบีซีนิวส์ - รัฐบาลผู้ดีประกาศสู้โลกร้อนด้วยการหันมาใช้พลังงานสะอาด ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก วางแผนแปลงลมทะเลเป็นกระแสไฟฟ้าป้อนบ้านเรือนประชาชนทั่วประเทศทุกหลังคาเรือนภายในปี 2563
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าวิธีลดโลกร้อนที่ได้ผลมากที่สุดคือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ รัฐบาลอังกฤษเลยสนองตอบด้วยการให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลที่มีอยู่รอบประเทศ
นายจอห์น ฮัตตัน (John Hutton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอังกฤษ เปิดเผยในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการเมืองทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจำเป็นต้องใช้พลังงานที่ทำให้เกิดคาร์บอนน้อยลง เพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ขณะนี้
"ผมเชื่อว่าพลังงานจากลมทะเลที่มีอยู่รอบเกาะอังกฤษมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนบ้านเรือนประชาชนทั่วทั้งอังกฤษได้" นายฮุตตัน กล่าว
ขณะนี้ประเทศอังกฤษมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แล้วทั่วประเทศคิดเป็น 2% ซึ่งรวมทั้งพลังงานลมขนาดต่ำกว่า 0.5 กิกะวัตต์ด้วย อย่างไรก็ดี ทางรัฐบาลประสงค์จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ 8 กิกะวัตต์ ในปี 2557 และเพิ่มเป็น 33 กิกะวัตต์ ภายในปี 2563 ซึ่งต้องใช้กังหันลมมากถึง 7,000 ตัว และต้องติดตั้งตลอดแนวชายฝั่งราว 1.5 กิโลเมตรต่อกังหัน 2 ตัว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนของสหภาพยุโรปให้ได้ 20% ในปี 2563
ฮุตตันบอกอีกว่า การติดตั้งกังหันลมอาจมีผลทำให้แนวชายฝั่งเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และก็คงไม่มีเทคโนโลยีไหนหรอกที่สามารถลดคาร์บอนได้โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามต่อฮุตตันว่า หากเกิดปัญหากรณีไม่มีลมพัดสัก 2-3 วัน จะเกิดผลกระทบหรือไม่ ซึ่งฮุตตันก็ตอบว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีแหล่งพลังงานทดแทนหลายชนิด รวมทั้งพลังงานนิวเคลียร์ที่สามารถทดแทนพลังงานลมได้เมื่อยามที่สภาพอากาศปราศจากคลื่นลม
อย่างไรก็ดี มาร์ค เอเวอรี (Mark Avery) สมาคมอนุรักษ์นกแห่งอังกฤษ (Royal Society for the Protection of Birds) กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังจากที่ฮุตตันให้สัมภาษณ์ว่า การสร้างโรงไฟฟ้าและการติดตั้งกังหันลมตามแนวชายฝั่งจะต้องดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลและไม่กระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
"หากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ทั้งฝูงนก วาฬ โลมา และปลาอื่นๆ อีกหลายชนิดคงต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือมนุษย์แน่นอน" เอเวอรี ฝากให้รัฐบาลพิจารณา
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000147686
Friday, December 14, 2007
ชวนโจ๋เข้าค่ายสื่อสารวิทย์บินสู่ลอนดอน
บริติช เคานซิล ร่วมกับทรูวิชั่นส์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอเชิญเยาวชนไทยอายุ 17-21 ปี และกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรมฝึกทักษะการเป็นนักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ผ่านโครงการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรับคัดเลือกเป็นทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยประจำปี 2008 และเดินทางไปเข้าร่วม London International Youth Science Forum ร่วมกับเยาวชนกว่า 250 คนจาก 60 ประเทศทั่วโลก ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.britishcouncil.or.th หมดเขตส่งใบสมัคร 31 ม.ค. 2551
นางเพ็ญรพี รามอินทรา ผู้จัดการโครงการวิทยาศาสตร์ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ที่ทางโครงการเปิดโอกาสให้น้องๆ ที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์สมัครเข้ารับคัดเลือกเป็นทีม ทีมละ 2 คน อยากให้น้องๆ ได้มาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อฝึกฝนวิธีการสื่อสารให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น
นายพิรฐะ หิญชีระนันทน์ นักศึกษาปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนึ่งในตัวแทนทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยประจำปี 2007 ที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมกับ London Youth Science Forum ที่สหราชอาณาจักร กล่าวในฐานะตัวแทนทีมว่า "ประทับใจการได้เข้าร่วมโครงการทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์มาก พอได้เดินทางไปร่วมชุมนุมด้านวิทยาศาสตร์ที่ลอนดอนยิ่งสนุก ได้เข้าฟังการบรรยายทั้งการทดลองและการแสดงทางวิทยาศาสตร์ ทำให้วิทยาศาสตร์ที่ยากและน่าเบื่อเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุก หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัวจนคิดไม่ถึงว่าจะนำมาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ขั้นสูงได้อย่างไร เช่น ความรู้เรื่องฟองสบู่ที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก สามารถไปใช้ในการทำถนนหรือโครงสร้างอาคารต่างๆ ได้ ผมยังได้ไปทัศนศึกษาตามมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่างๆ นอกจากนั้น ยังมีการจัดตลาดนัดทางวิชาการขึ้นเพื่อแสดงผลงานโครงงานของแต่ละประเทศด้วย"
ที่มา: http://www.matichon.co.th/
Link: http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakUwTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TkE9PQ==
ตู้น้ำมันไบโอดีเซลหยอดเหรียญ อยู่ที่ไหนก็เติมเองได้
รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้ไบโอดีเซลกันมากๆ แต่จะเติมน้ำมันไบโอดีเซลแต่ละทีก็ไม่ใช่ง่าย เพราะปั๊มน้ำมันไบโอดีเซลขณะนี้มีเพียง 900 จุดทั่วประเทศ “ตู้น้ำมันไบโอดีเซลแบบหยอดเหรียญ” ขนาดกะทัดรัด กระจายตามจุดต่างๆ จึงช่วยลดปัญหาได้
นายศักดิ์ชัย จองลน ประธานบริษัท กชพรรณ ดอท คอม จำกัด ซึ่งจำหน่ายเครื่องจำหน่ายสินค้าแบบหยอดเหรียญมานานกว่า 8 ปี กล่าวว่า ทางบริษัทได้นำเข้าชิ้นส่วนตู้น้ำมันหยอดเหรียญที่ได้มาตรฐานไอเอสโอจากประเทศจีนมาประกอบเอง ล่าสุดได้ประกอบตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญเพื่อให้บริการแก่ผู้ขับขี่ยานยนต์ในประเทศได้แล้ว โดยมีมาตรฐานเทียบเท่าตู้จ่ายน้ำมันของสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ทั่วไป
สำหรับตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญ ทำงานได้ทั้งแบบรับเหรียญ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท หรือธนบัตรมูลค่า 20 บาท 50 บาท และ 100 บาทได้ อีกทั้งยังจะพัฒนาต่อไปให้รับบัตรเครดิตได้ด้วย โดยได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้สามารถประกอบจำหน่ายได้ตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทยที่ทำอย่างถูกต้อง
“ตู้น้ำมันหยอดเหรียญมีขนาด 200 ลิตร เมื่อจำหน่ายหมดก็เติมใหม่ได้ หรือจะใช้การดูดน้ำมันจากถังใต้ดินขึ้นมาใช้เหมือนปั้มน้ำมันทั่วๆ ไปก็ได้ เมื่อติดตั้งแล้วต้องมีพนักงานความปลอดภัยมาประจำ และมีอุปกรณ์ดับเพลิง เช่น ถุงทรายและถังดับเพลิงไว้พร้อมเผื่อในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีตามที่กฎหมายกำหนด” นายศักดิ์ชัย กล่าว
ทั้งนี้ ตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญ ถือเป็นมาตรการหนึ่งของบริษัทเพื่อตอบรับกระแสสังคมที่หันมาให้ความสำคัญกับน้ำมันไบโอดีเซลมากขึ้น โดยเป็นการเปิดตัวครั้งแรก จากก่อนหน้านี้ บริษัทได้จำหน่ายตู้น้ำมันหยอดเหรียญให้แก่ผู้ค้าปลีกน้ำมันรายย่อยและติดตั้งแล้ว 30 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการน้ำมันชนิดต่างๆ แก่ลูกค้า เช่น น้ำมันเบนซินสำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในจุดที่ห่างไกลจากสถานีน้ำมัน
“น้ำมันไบโอดีเซลเป็นพลังงานที่ต้องมาอย่างแน่นอน เราจึงนำตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญมาเปิดตัวเพื่อร่วมส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในบ้านเราด้วย” นายศักดิ์ชัย กล่าว โดยผู้ประกอบการรายใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2904-2700 ซึ่งตู้น้ำมันไบโอดีเซลบี 5 แบบหยอดเหรียญนี้มีสนนราคาเบาะๆ 1.9 แสนบาท/เครื่อง
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000148066
เทคโนประดิษฐ์-ฮอนด้าลับคมหุ่นยนต์อาซิโมรู้มารยาทสังคมทำงานร่วมผู้อื่นได้
ฮอนด้าประสบความสำเร็จอีกขั้นในการพัฒนาอัจฉริยะสมองกลอาซิโมเทคโนโลยีใหม่ช่วยเชื่อมโยงการทำงานของอาซิโมหลายตัวในเวลาเดียวกัน รองรับการใช้งานประจำวันในสภาพแวดล้อมจริง
เทคโนโลยีอัจฉริยะสมองกลใหม่นี้ช่วยให้อาซิโมเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น และนำไปสู่ความสามารถใหม่ 3 อย่างคือ การจัดสรรหน้าที่และปฏิบัติงานได้พร้อมกันหลายตัวในเวลาเดียวกันโดยเชื่อมโยงเทคโนโลยีใหม่กับความสามารถในการปฏิบัติงานในสำนักงาน อาทิ การเสิร์ฟเครื่องดื่ม การเข็นรถ เป็นต้น เช่น ขณะที่อาซิโมตัวหนึ่งหยุดทำงาน เนื่องจากกำลังชาร์จแบตเตอรี่ ตัวอื่นๆ จะทำหน้าที่แทนได้ทันที
ความสามารถที่สอง การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้า หรือเดินถอยหลังเพื่อเปิดทางให้ผู้อื่น โดยจะกำหนดตำแหน่งของผู้ที่กำลังเข้าใกล้ ผ่านกล้องรับภาพที่ตา จากนั้นจะคำนวณทิศทางและความเร็วของระยะทาง คาดการณ์การเคลื่อนไหวของผู้ที่เข้าใกล้ และเลือกเส้นทางเดินที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเปิดทางแก่ผู้อื่น แต่ในกรณีที่พื้นที่ไม่พอ อาซิโมจะเดินถอยหลังและเปิดทางให้
ความสามารถที่สามการชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเองเมื่อระดับแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่าระดับที่กำหนดอาซิโมจะหาตำแหน่งสถานีสำหรับชาร์จที่ใกล้ที่สุด จากนั้นเดินไปยังตำแหน่งดังกล่าวเพื่อชาร์จแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ โดยจะทำการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่กำลังยืนอยู่
ฮอนด้าได้ทดสอบอาซิโม2 ตัว ที่ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ บริเวณล็อบบี้ชั้น 2 สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าในกรุงโตเกียว
นับตั้งแต่ฮอนด้าเปิดตัวอาซิโมเมื่อปี 2548 ก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้อาซิโมอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ และเทคโนโลยีล่าสุดนี้ ทำให้อาซิโมปฏิบัติงานในสภาวะที่แวดล้อมไปด้วยมนุษย์ และอาซิโมตัวอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของฮอนด้าในการพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ให้สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมจริงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนจำนวนมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
เทคโนโลยีอัจฉริยะสมองกลใหม่นี้ช่วยให้อาซิโมเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น และนำไปสู่ความสามารถใหม่ 3 อย่างคือ การจัดสรรหน้าที่และปฏิบัติงานได้พร้อมกันหลายตัวในเวลาเดียวกันโดยเชื่อมโยงเทคโนโลยีใหม่กับความสามารถในการปฏิบัติงานในสำนักงาน อาทิ การเสิร์ฟเครื่องดื่ม การเข็นรถ เป็นต้น เช่น ขณะที่อาซิโมตัวหนึ่งหยุดทำงาน เนื่องจากกำลังชาร์จแบตเตอรี่ ตัวอื่นๆ จะทำหน้าที่แทนได้ทันที
ความสามารถที่สอง การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้า หรือเดินถอยหลังเพื่อเปิดทางให้ผู้อื่น โดยจะกำหนดตำแหน่งของผู้ที่กำลังเข้าใกล้ ผ่านกล้องรับภาพที่ตา จากนั้นจะคำนวณทิศทางและความเร็วของระยะทาง คาดการณ์การเคลื่อนไหวของผู้ที่เข้าใกล้ และเลือกเส้นทางเดินที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเปิดทางแก่ผู้อื่น แต่ในกรณีที่พื้นที่ไม่พอ อาซิโมจะเดินถอยหลังและเปิดทางให้
ความสามารถที่สามการชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยตนเองเมื่อระดับแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่าระดับที่กำหนดอาซิโมจะหาตำแหน่งสถานีสำหรับชาร์จที่ใกล้ที่สุด จากนั้นเดินไปยังตำแหน่งดังกล่าวเพื่อชาร์จแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ โดยจะทำการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่กำลังยืนอยู่
ฮอนด้าได้ทดสอบอาซิโม2 ตัว ที่ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ บริเวณล็อบบี้ชั้น 2 สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าในกรุงโตเกียว
นับตั้งแต่ฮอนด้าเปิดตัวอาซิโมเมื่อปี 2548 ก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำให้อาซิโมอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ และเทคโนโลยีล่าสุดนี้ ทำให้อาซิโมปฏิบัติงานในสภาวะที่แวดล้อมไปด้วยมนุษย์ และอาซิโมตัวอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของฮอนด้าในการพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ให้สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมจริงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนจำนวนมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Thursday, December 13, 2007
เทคโนประดิษฐ์-โตโยต้าอวดหุ่นยนต์อุ้มผู้ป่วย-คนชรา
โตโยต้าโชว์หุ่นยนต์รุ่นใหม่พร้อมกันสองรุ่นตัวหนึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ หรือที่เรียกว่าฮิวแมนนอยด์ อีกตัวหนึ่งเป็นพาหนะสองล้อสำหรับพาคนพิการและผู้ป่วยเคลื่อนที่ภายในคฤหาสน์สถานแทนจะนอนแบบอยู่บนเตียง
คัตสุกิวาตานาเบ ประธานบริษัทโตโยต้า กล่าวว่า หุ่นยนต์จะเป็นธุรกิจหลักของโตโยต้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากญี่ปุ่นรายนี้ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี พ.ศ.2553 หุ่นยนต์ภาคสนามมากมายจะถูกผลิตออกมาช่วยงานตามโรงงาน บ้านเรือนและในเมือง และปีหน้าโตโยต้ายังมีแผนทดสอบการทำงานของหุ่นยนต์ในโรงพยาบาล และโรงงานของโตโยต้าเอง รวมถึงสถานที่
หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานในโรงงานมานานแล้วเช่น ใช้เชื่อม และใช้ประกอบชิ้นส่วนตามสายพานการผลิต ขณะที่หุ่นยนต์เหล่านี้ยังไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ในอนาคตหุ่นยนต์จะทำงานช่วยเหลือมนุษย์อย่างเป็นอิสระ
ผู้บริหารโตโยต้าบอกว่าหุ่นยนต์ถือเป็นพัฒนาการอีกขั้นของโตโยต้า ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถสังเกตได้ว่า รถยนต์รุ่นใหม่มักติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ และสมองกลเพื่ออำนายความสะดวกและดูแล และป้องกันอุบัติภัยให้แก่ผู้ขับขี่
หนึ่งในหุ่นยนต์ที่โตโยต้านำมาโชว์เมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นหุ่นยนต์สองล้อที่ออกแบบคล้ายรถเข็นคนป่วยสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. สามารถเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ขรุขระหรือเป็นเนินขึ้นลงโดยทรงตัวเองได้อัตโนมัติ เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับพบสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า มันจะวิ่งอ้อมไปอีกด้านทันที หุ่นยนต์แบบนี้สามารถพาผู้ป่วย และคนชราไปยังเตียงนอนได้โดยไม่ต้องมีคนคอยช่วย
รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์อย่างจริงจังก่อนหน้านี้ บริษัทฮอนด้าได้นำหุ่นยนต์อาซิโมไปแสดงความสามารถตามที่ต่างๆ ทั่วโลก เช่นเดียวกับบริษัทฮิตาชิ ฟูจิสึ และเอ็นอีซี ที่ตั้งงบประมาณวิจัยด้านนี้ ถึงแม้โตโยต้าจะตามมาทีหลัง แต่เทคโนโลยีหุ่นยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ไม่น้อยหน้ารายอื่น หรืออาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ
หุ่นยนต์อีกตัวหนึ่งที่นำมาโชว์ความสามารถเป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ขนาด 5 ฟุต นอกจากสีไวโอลินได้แล้วมันยังโยกตัวเคลื่อนไหว มีอารมณ์ร่วม ไปกับการบรรเลงดูราวกับเป็นนักไวโอลินมืออาชีพนิ้วหุ่นยนต์ที่กดโน้ตลงบนสาย สอดคล้องกับการชักแขนสีสายไวโอลิน แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงที่สั่งการให้นิ้วมือและแขนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อันเป็นหัวใจสำคัญของระบบหุ่นยนต์ที่ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ด้านความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Wednesday, December 12, 2007
ฝันไอบีเอ็มทำซูเปอร์คอมพิวเตอร์ฉลุย
ไอบีเอ็มประกาศความสำเร็จเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นแสงกะพริบใช้รับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูเข้าใกล้ฝันสร้างคอมพิวเตอร์ประมวลผลล้ำเลิศจากเครื่องเทอะทะมโหฬารให้อยู่ในชิพเพียงตัวเดียว
ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาชิพประมวลผลความเร็วสูงที่เปรียบเสมือนมีชิพนับร้อยนับพันตัวอยู่บนชิพตัวเดียวแต่มีขนาดเล็กกว่าเทคโนโลยีชิพปัจจุบันที่กินไฟมโหฬาร แถมใช้งานได้สักพักยังร้อนจี๋ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเพิ่มพลังประมวลผลให้แก่ซีพียู
ไอบีเอ็มเป็นผู้ผลิตชิพประมวลผลที่มีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีสูงตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ หน่วยประมวลผล เซลล์ ที่ใช้กับเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น3 ของโซนี่ ซึ่งมีแกนประมวลผลถึง 9 แกน ขณะที่ผู้ผลิตซีพียูอย่างอินเทล และเอเอ็มดียังแข่งกันพัฒนาชิพที่มีแกนประมวลผล 4 แกน หรือที่เรียกว่า ควอดคอร์
ไอบีเอ็มได้พัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างแกนหรือสมองของซีพียูด้วยรูปแบบของแสงกะพริบแทนรูปแบบเดิมที่ส่งต่อข้อมูลผ่านสายทองแดง ชุดถ่ายทอดสัญญาณแสงสามารถส่งข้อมูลผ่านระหว่างสมองประมวลผลได้เร็วกว่ารับส่งข้อมูลด้วยสายไฟถึง 100 เท่า แต่กินไฟน้อยกว่า 10 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้นชุดรับส่งข้อมูลด้วยแสงยังมีขนาดเล็กกว่าตัวที่พัฒนามาก่อนหน้านี้ 100-1,000 เท่า ช่วยให้ราคาถูกลง ใช้กระแสไฟน้อย ความร้อนต่ำ แต่ส่งผ่านข้อมูลได้คราวละมากกว่าเดิม
พูดง่ายๆความสามารถดังกล่าวเปรียบได้กับเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่ใช้รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่มีขนาดใหญ่รองรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันทั่วโลกในเวลาเดียวกัน ไอบีเอ็มนำความสามารถที่คล้ายกันนี้มาใส่ไว้ในชิพคอมพิวเตอร์
ผู้บริหารไอบีเอ็มกล่าวอย่างมั่นใจว่า ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของการพัฒนาชิพที่ใช้เทคโนโลยีรับส่งข้อมูลด้วยแสง หรือเรียกว่า นาโนโฟโตนิกส์
ที่ผ่านมาระบบประมวลผลที่ก้าวหน้าของไอบีเอ็มถูกนำไปใช้งานหลายด้าน เช่น ด้านควอนตัมฟิสิกส์ ด้านการทำนายสภาพอากาศ และการจำลองแบบระดับโมเลกุล
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ไอบีเอ็มกำลังพัฒนาชิพประมวลผลความเร็วสูงที่เปรียบเสมือนมีชิพนับร้อยนับพันตัวอยู่บนชิพตัวเดียวแต่มีขนาดเล็กกว่าเทคโนโลยีชิพปัจจุบันที่กินไฟมโหฬาร แถมใช้งานได้สักพักยังร้อนจี๋ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเพิ่มพลังประมวลผลให้แก่ซีพียู
ไอบีเอ็มเป็นผู้ผลิตชิพประมวลผลที่มีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีสูงตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ หน่วยประมวลผล เซลล์ ที่ใช้กับเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น3 ของโซนี่ ซึ่งมีแกนประมวลผลถึง 9 แกน ขณะที่ผู้ผลิตซีพียูอย่างอินเทล และเอเอ็มดียังแข่งกันพัฒนาชิพที่มีแกนประมวลผล 4 แกน หรือที่เรียกว่า ควอดคอร์
ไอบีเอ็มได้พัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างแกนหรือสมองของซีพียูด้วยรูปแบบของแสงกะพริบแทนรูปแบบเดิมที่ส่งต่อข้อมูลผ่านสายทองแดง ชุดถ่ายทอดสัญญาณแสงสามารถส่งข้อมูลผ่านระหว่างสมองประมวลผลได้เร็วกว่ารับส่งข้อมูลด้วยสายไฟถึง 100 เท่า แต่กินไฟน้อยกว่า 10 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้นชุดรับส่งข้อมูลด้วยแสงยังมีขนาดเล็กกว่าตัวที่พัฒนามาก่อนหน้านี้ 100-1,000 เท่า ช่วยให้ราคาถูกลง ใช้กระแสไฟน้อย ความร้อนต่ำ แต่ส่งผ่านข้อมูลได้คราวละมากกว่าเดิม
พูดง่ายๆความสามารถดังกล่าวเปรียบได้กับเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่ใช้รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่มีขนาดใหญ่รองรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันทั่วโลกในเวลาเดียวกัน ไอบีเอ็มนำความสามารถที่คล้ายกันนี้มาใส่ไว้ในชิพคอมพิวเตอร์
ผู้บริหารไอบีเอ็มกล่าวอย่างมั่นใจว่า ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของการพัฒนาชิพที่ใช้เทคโนโลยีรับส่งข้อมูลด้วยแสง หรือเรียกว่า นาโนโฟโตนิกส์
ที่ผ่านมาระบบประมวลผลที่ก้าวหน้าของไอบีเอ็มถูกนำไปใช้งานหลายด้าน เช่น ด้านควอนตัมฟิสิกส์ ด้านการทำนายสภาพอากาศ และการจำลองแบบระดับโมเลกุล
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ซอฟต์แวร์ค้นเพลงจากเสียงฮัมสืบหาไฟล์เพลงประยุกต์ใช้กับร้านคาราโอเกะ
เชื่อว่าหลายคนเคยเป็นแบบนี้จำทำนองเพลงได้แต่ไม่รู้จักชื่อเพลง นิสิตจุฬาฯ เลยพัฒนาซอฟต์แวร์สืบค้นเพลง โดยฟังทำนองจากเสียงร้องผ่านไมโครโฟน ผลงานโดนใจคว้ารางวัลรองชนะเลิศประเภทนักศึกษาจากการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายไวยณ์วุฒิเอื้อจงประสิทธิ์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงเป็นผลงานที่พัฒนาเพื่อขอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยร่วมกับนายพงศกร ธีรภาพวงศ์ ด้วยเห็นว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวมีคู่แข่งน้อย และอำนวยความสะดวกให้คนที่อยากฟังเพลง แต่จำชื่อเพลงไม่ได้ค้นหาชื่อเพลง หรือไฟล์เพลง
ซอฟต์แวร์ค้นหาเพลงทำงานโดยอาศัยไมโครโฟนเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ใช้งานร้องหรือฮัมทำนองจะเป็นท่อนไหนของเพลงก็ได้ ถึงจะร้องเพี้ยนเสียงก็ไม่เป็นไร ระบบจะใช้เวลาประมวลผลและค้นหาไฟล์ที่ใกล้เคียง 5 ไฟล์ในเวลา 2-3 วินาที" นักวิจัย กล่าว
ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์"Hum me a tune?comes the song" นำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง13 คน โดยให้ฮัมเสียงเพลงด้วยรูปแบบต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 106 ตัวอย่างกับเพลงต้นแบบจำนวน 100 เพลงทั้งไทย จีน และอังกฤษ เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของระบบการประมวลผล พบว่าให้ความแม่นยำในการค้นหาเพลงมากถึง 85% โดยทีมพัฒนาเชื่อว่าสามารถต่อยอดเป็นซอฟต์แวร์เพื่อการค้าได้
อุปสรรคสำคัญที่ทีมพัฒนาต้องปรับปรุงคือการพัฒนาระบบประมวลผลให้สามารถคำนวณเผื่อค่าผันแปรของรูปแบบเสียง เช่น เสียงสูงต่ำ ดังค่อย เพื่อให้ระบบสืบค้นเพลงได้แม่นยำถึง 100%
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวออกแบบให้สืบหาไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสก์ในเครื่องโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชอบฟังเพลงทุกเพศทุกวัย หรือจะประยุกต์ใช้กับธุรกิจร้านอาหาร หรือห้องคาราโอเกะเพื่อทุ่นเวลาพลิกหาเพลงที่ชอบจากหน้ากระดาษจนลายตา
ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงจากทำนองเป็น1 ใน 12 ผลงานที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ส่งเข้าแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศหมวดนิสิตนักศึกษามาครองได้สำเร็จ ส่วนรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ตกเป็นของเยาวชนจากประเทศศรีลังกา
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
นายไวยณ์วุฒิเอื้อจงประสิทธิ์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงเป็นผลงานที่พัฒนาเพื่อขอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยร่วมกับนายพงศกร ธีรภาพวงศ์ ด้วยเห็นว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวมีคู่แข่งน้อย และอำนวยความสะดวกให้คนที่อยากฟังเพลง แต่จำชื่อเพลงไม่ได้ค้นหาชื่อเพลง หรือไฟล์เพลง
ซอฟต์แวร์ค้นหาเพลงทำงานโดยอาศัยไมโครโฟนเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ใช้งานร้องหรือฮัมทำนองจะเป็นท่อนไหนของเพลงก็ได้ ถึงจะร้องเพี้ยนเสียงก็ไม่เป็นไร ระบบจะใช้เวลาประมวลผลและค้นหาไฟล์ที่ใกล้เคียง 5 ไฟล์ในเวลา 2-3 วินาที" นักวิจัย กล่าว
ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์"Hum me a tune?comes the song" นำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง13 คน โดยให้ฮัมเสียงเพลงด้วยรูปแบบต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 106 ตัวอย่างกับเพลงต้นแบบจำนวน 100 เพลงทั้งไทย จีน และอังกฤษ เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของระบบการประมวลผล พบว่าให้ความแม่นยำในการค้นหาเพลงมากถึง 85% โดยทีมพัฒนาเชื่อว่าสามารถต่อยอดเป็นซอฟต์แวร์เพื่อการค้าได้
อุปสรรคสำคัญที่ทีมพัฒนาต้องปรับปรุงคือการพัฒนาระบบประมวลผลให้สามารถคำนวณเผื่อค่าผันแปรของรูปแบบเสียง เช่น เสียงสูงต่ำ ดังค่อย เพื่อให้ระบบสืบค้นเพลงได้แม่นยำถึง 100%
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวออกแบบให้สืบหาไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสก์ในเครื่องโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชอบฟังเพลงทุกเพศทุกวัย หรือจะประยุกต์ใช้กับธุรกิจร้านอาหาร หรือห้องคาราโอเกะเพื่อทุ่นเวลาพลิกหาเพลงที่ชอบจากหน้ากระดาษจนลายตา
ซอฟต์แวร์ค้นหาเสียงเพลงจากทำนองเป็น1 ใน 12 ผลงานที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ส่งเข้าแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศหมวดนิสิตนักศึกษามาครองได้สำเร็จ ส่วนรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ตกเป็นของเยาวชนจากประเทศศรีลังกา
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Tuesday, December 11, 2007
ม.เกษตรแปลงภาพเป็นอักษร ฝีมือเยาวชนไทยคว้าแชมป์เอเชียแปซิฟิก
นิสิตวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ม.เกษตรฯ คว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากการส่งซอฟต์แวร์แปลงรูปภาพเป็นตัวอักษรเข้าประกวด ผลทดสอบให้ความแม่นยำ ได้ข้อความเร็วกว่าพิมพ์
นายนัฏฐ์ปิยะโมทย์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ซอฟต์แวร์แปลงภาพถ่ายตัวหนังสือจากกล้องดิจิทัล หรือภาพจากการสแกนให้เป็นข้อความ ช่วยลดเวลาจดคัดลอกหรือพิมพ์ใหม่ และนำไปใช้งานด้านเอกสารดิจิทัลได้หลากหลาย
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวใช้เวลาศึกษามากว่า2 ปี ตั้งแต่เรียนอยู่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย และพัฒนาแล้วเสร็จในเวลา 4 เดือนหลังขึ้นชั้น ม.6 โดยตั้งชื่อซอฟต์แวร์ตัวนี้ว่า ทันใจโอซีอาร์
โปรแกรมแปลงตัวอักษรภาพดิจิทัลหรือที่เรียกว่า โอซีอาร์ มีเผยแพร่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยเป็นซอฟต์แวร์แถมมากับเครื่องสแกนเนอร์ ซึ่งใช้แปลงตัวภาพอักษรโรมันเป็นตัวอักษรในรูปแบบเอกสารพร้อมใช้งาน แต่โปรแกรมใช้งานแปลงภาษาไทยยังมีผู้พัฒนาน้อยราย
โปรแกรมทันใจโอซีอาร์ออกแบบให้แปลงตัวอักษรภาษาไทยจากภาพดิจิทัลให้เป็นตัวอักษรภาษาไทยสำหรับใช้งานกับโปรแกรมเอกสาร เช่น ไมโครซอฟท์เวิร์ด และอื่นๆ
หลังทดสอบการรู้จำของซอฟต์แวร์ด้วยการนำไฟล์ภาพมาให้แปลงพบว่าสามารถแปลงข้อมูลไฟล์ภาพเป็นตัวอักษรได้ 76 ตัวอักษรต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าการพิมพ์ทั่วไป ที่ปกติมีมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 35-45 คำต่อนาที โดยให้ความแม่นยำมากถึง 90-95% ทั้งยังอ่านลักษณะตัวอักษรได้ 6 รูปแบบที่นิยมใช้ในโปรแกรมเวิร์ด นายนัฏฐ์กล่าว
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้ทุนสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติมูลค่า7 หมื่นบาท โดยคว้ารางวัลชนะเลิศประเภทนักเรียนจากการแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย
นายสุธีร์สธนสถาพร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย และกรรมการบริหารเอเชีย แปซิฟิก ไอซีที อะวอร์ด กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ทันใจเป็น 1 ใน 6 ซอฟต์แวร์ที่ได้รับรางวัลจากการส่งเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ซอฟต์แวร์ ถือว่าน่าภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะได้รับรางวัลใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ที่ส่งผลงานแข่งขันมากถึง 43 ผลงาน
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
นายนัฏฐ์ปิยะโมทย์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ซอฟต์แวร์แปลงภาพถ่ายตัวหนังสือจากกล้องดิจิทัล หรือภาพจากการสแกนให้เป็นข้อความ ช่วยลดเวลาจดคัดลอกหรือพิมพ์ใหม่ และนำไปใช้งานด้านเอกสารดิจิทัลได้หลากหลาย
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวใช้เวลาศึกษามากว่า2 ปี ตั้งแต่เรียนอยู่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย และพัฒนาแล้วเสร็จในเวลา 4 เดือนหลังขึ้นชั้น ม.6 โดยตั้งชื่อซอฟต์แวร์ตัวนี้ว่า ทันใจโอซีอาร์
โปรแกรมแปลงตัวอักษรภาพดิจิทัลหรือที่เรียกว่า โอซีอาร์ มีเผยแพร่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยเป็นซอฟต์แวร์แถมมากับเครื่องสแกนเนอร์ ซึ่งใช้แปลงตัวภาพอักษรโรมันเป็นตัวอักษรในรูปแบบเอกสารพร้อมใช้งาน แต่โปรแกรมใช้งานแปลงภาษาไทยยังมีผู้พัฒนาน้อยราย
โปรแกรมทันใจโอซีอาร์ออกแบบให้แปลงตัวอักษรภาษาไทยจากภาพดิจิทัลให้เป็นตัวอักษรภาษาไทยสำหรับใช้งานกับโปรแกรมเอกสาร เช่น ไมโครซอฟท์เวิร์ด และอื่นๆ
หลังทดสอบการรู้จำของซอฟต์แวร์ด้วยการนำไฟล์ภาพมาให้แปลงพบว่าสามารถแปลงข้อมูลไฟล์ภาพเป็นตัวอักษรได้ 76 ตัวอักษรต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าการพิมพ์ทั่วไป ที่ปกติมีมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 35-45 คำต่อนาที โดยให้ความแม่นยำมากถึง 90-95% ทั้งยังอ่านลักษณะตัวอักษรได้ 6 รูปแบบที่นิยมใช้ในโปรแกรมเวิร์ด นายนัฏฐ์กล่าว
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้ทุนสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติมูลค่า7 หมื่นบาท โดยคว้ารางวัลชนะเลิศประเภทนักเรียนจากการแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย
นายสุธีร์สธนสถาพร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย และกรรมการบริหารเอเชีย แปซิฟิก ไอซีที อะวอร์ด กล่าวว่า ซอฟต์แวร์ทันใจเป็น 1 ใน 6 ซอฟต์แวร์ที่ได้รับรางวัลจากการส่งเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 12 ซอฟต์แวร์ ถือว่าน่าภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะได้รับรางวัลใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ที่ส่งผลงานแข่งขันมากถึง 43 ผลงาน
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
พพ.โชว์ศูนย์อนุรักษ์พลังงาน จัดแสดงนวัตกรรม-เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
กระทรวงพลังงานทุ่มทุน135 ล้านบาท เปิดศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานเป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังขยายผลเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านพลังงานระดับภูมิภาค
นายพานิชพงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และเป็นตัวอย่างด้านการใช้พลังงานแบบครบวงจร ตลอดจนเป็นศูนย์สาธิตเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วิศวกร นักออกแบบ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ
ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ เทคโนธานี มีพื้นที่ทั้งหมด 14,000ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำหรับแสดง 54 เทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน เช่น การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระบบแสงสว่างประหยัดพลังงาน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน กระจกหน้าต่างอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมแสง การนำความเย็นของอากาศที่ปล่อยทิ้งกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะภาคอุตสาหกรรม 37 เทคโนโลยี ได้แก่ การให้ความร้อนอุณหภูมิสูงโดยใช้คลื่นวิทยุ ระบบจัดการพลังงาน การนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็น และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่างให้แก่อุตสาหกรรมด้วย
"อุปกรณ์สาธิตจำลองมาจากของจริงโดยสามารถทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ และเครื่องจักรได้ทั้งในรูปแบบอินเตอร์แอ็คทีฟและมัลติมีเดีย เพื่อให้ผู้เข้าชมสนุกและได้ความรู้พร้อมกัน ความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบ้าน ที่ทำงาน และอุตสาหกรรมของตน ให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง" นายพานิช อธิบาย
อธิบดีกรมพลังงานทดแทนตั้งเป้าว่าหากการเผยแพร่เทคโนโลยีสู่กลุ่มเป้าหมายในไทยเป็นไปได้ดี จะขยายไปสู่การเป็นศูนย์กลางการอนุรักษ์พลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต้องดูการตอบรับในประเทศก่อน
ด้านนายประมวลจันทร์พงษ์ ผู้อำนวยการกองฝึกอบรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า เทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงในศูนย์ รวบรวมมาตั้งแต่ปี 2536 จากการศึกษาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยมากกว่า 200 ชนิด
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
นายพานิชพงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และเป็นตัวอย่างด้านการใช้พลังงานแบบครบวงจร ตลอดจนเป็นศูนย์สาธิตเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วิศวกร นักออกแบบ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ
ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ เทคโนธานี มีพื้นที่ทั้งหมด 14,000ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำหรับแสดง 54 เทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน เช่น การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระบบแสงสว่างประหยัดพลังงาน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน กระจกหน้าต่างอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมแสง การนำความเย็นของอากาศที่ปล่อยทิ้งกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะภาคอุตสาหกรรม 37 เทคโนโลยี ได้แก่ การให้ความร้อนอุณหภูมิสูงโดยใช้คลื่นวิทยุ ระบบจัดการพลังงาน การนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็น และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่างให้แก่อุตสาหกรรมด้วย
"อุปกรณ์สาธิตจำลองมาจากของจริงโดยสามารถทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ และเครื่องจักรได้ทั้งในรูปแบบอินเตอร์แอ็คทีฟและมัลติมีเดีย เพื่อให้ผู้เข้าชมสนุกและได้ความรู้พร้อมกัน ความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบ้าน ที่ทำงาน และอุตสาหกรรมของตน ให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง" นายพานิช อธิบาย
อธิบดีกรมพลังงานทดแทนตั้งเป้าว่าหากการเผยแพร่เทคโนโลยีสู่กลุ่มเป้าหมายในไทยเป็นไปได้ดี จะขยายไปสู่การเป็นศูนย์กลางการอนุรักษ์พลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต้องดูการตอบรับในประเทศก่อน
ด้านนายประมวลจันทร์พงษ์ ผู้อำนวยการกองฝึกอบรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า เทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงในศูนย์ รวบรวมมาตั้งแต่ปี 2536 จากการศึกษาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยมากกว่า 200 ชนิด
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Saturday, December 8, 2007
ซอฟต์แวร์ช่วยคนไข้ไอซียูสื่อสารคล่อง
เนคเทค-ศิริราชทดสอบต้นแบบอุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยแพทย์สื่อสารกับผู้ป่วยที่มีปัญหาการสื่อสาร ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ป่วยไอซียู พิการด้านการพูดจนถึงพาร์กินสัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นักวิจัยของเนคเทคร่วมกับ แพทย์สาขาอรรถบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลร่วมกันออกแบบ และพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์พร้อมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยการสื่อสารสำหรับผู้มีปัญหาด้านภาษาการพูดและการสื่อความหมาย ซึ่งพร้อมจะนำไปทดสอบในอาสาสมัครแล้ว
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เปิดเผยว่า อุปกรณ์และโปรแกรมดังกล่าวพัฒนาต่อยอดจากการศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนโรงเรียนศรีสังวาลที่มีความผิดปกติด้านสมอง และพัฒนาการด้านการพูดล่าช้าจนได้โปรแกรมที่นำไปใช้งานกับผู้ป่วยระยะพักฟื้นขึ้นอยู่กับอาการป่วย
โปรแกรมแรกเป็นคอมพิวเตอร์ประเมินเสียงพูดภาษาไทย สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และพาร์กินสัน ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดที่เน้นให้ผู้ป่วยหัดเปล่งเสียงออกมาว่าเป็นเสียงอะไรและจดจำไว้แสดงผลในครั้งต่อไป
อีกโปรแกรมหนึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ที่บกพร่องทางการสื่อสาร ให้สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม แบ่งการแสดงผลเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปภาพ เสียง และตัวอักษร สำหรับอ่านเป็นคำเพื่อให้ผู้ป่วยฝึกที่จะเปล่งเสียงออกมาว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร เพื่อจดจำไว้สื่อสารกับผู้ดูแล เช่น แก้วน้ำ แว่นตา ผ้าห่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ช่วยสื่อสารในห้องไอซียูและผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นหรือมีอาการเรื้อรัง ผู้ใช้ระบบจะกดเพียง 2 ปุ่มเลือกว่าใช่หรือไม่ใช่เพียงเท่านั้น โดยจัดแบ่งหมวดหมู่ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาการ ซึ่งสามารถนำรูปภาพหรือคำเก็บเข้าระบบเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับความต้องการได้
ผศ.ดร.ศรีวิมล มโนเชี่ยวพินิจ หัวหน้าสาขาอรรถบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า อุปกรณ์และโปรแกรมดังกล่าวช่วยให้การดูแลรักษาและการประเมินผลสำหรับผู้ป่วยเป็นไปได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากระบบดังกล่าวช่วยผู้ป่วยสื่อสารกับแพทย์ พยาบาล หรือคนอื่นที่ดูแลได้อย่างเข้าใจ และยังเก็บข้อมูลการทดสอบหรือใช้งานแต่ละครั้งลงในเครื่อง หรือพิมพ์ออกมาเพื่ออ้างอิงถึงพัฒนาการของร่างกายผู้ป่วยกับหน่วยงานหรือโรงเรียนได้อีกด้วย
ทีมวิจัยตั้งเป้าไว้ว่าจะทดสอบในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 30 ราย ภายใน 6 เดือนโดยเน้นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นที่ไม่สามารถสื่อสารได้ เช่น กลุ่มผู้ป่วยสมองพิการ กลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางสมอง กลุ่มผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีพัฒนาการทางด้านสมองหรือการพูดล่าช้า
“ผลการทดลองที่ได้นำไปปรับปรุงระบบให้ทำงานหลากหลายยิ่งขึ้น ก่อนนำไปฝึกอบรมให้แก่ผู้สนใจ เช่นเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย ครอบครัวผู้ป่วย รวมถึงสถานพยาบาลทั่วประเทศ และในอนาคต ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตไปใช้งานติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ได้เอง" ผศ.ดร.ศรีวิมล กล่าว
กานต์ดา บุญเถื่อน
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/
Link: http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/08/WW54_5401_news.php?newsid=209791
Thursday, December 6, 2007
ประกาศพบวิธีใหม่ตรวจมะเร็ง ส่องกล้องนาโนดู การแพร่กระจาย
ความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยี ทำให้นักวิจัยมะเร็งในสหรัฐฯ ประกาศว่าสามารถจะตรวจหาการแพร่กระจายของเซลล์ มะเร็งที่แทรกซึมไปทั่วร่างกายของผู้ป่วยได้
นักวิจัยของศูนย์มะเร็งจอห์นสัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแอนเจลิส นำความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยีมาใช้ตรวจหามะเร็ง และยังกำหนดได้ว่ามันแพร่กระจายรวดเร็วเพียงใด โดยพวกเขากล่าวว่าได้ใช้กล้องจุลทรรศน์พลังอะตอมมิคไปแหย่ด้านข้างของเซลล์ที่มีชีวิต เพื่อดูความยืดหยุ่นของเซลล์ดังกล่าว เพราะว่าเซลล์มะเร็งต้องบีบตัวเองเข้าไปในที่แคบขณะเข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย โดยทั่วไปเซลล์ของโรคมะเร็งจะยืดหยุ่นกว่าเซลล์ที่แข็งแรง การใช้กล้องจุลทรรศน์นาโนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เข้าไปจัดการกับส่วนแหลมของมัน จะทำให้ทราบได้ว่าเซลล์มะเร็งนั้นมีความผิดปกติหรือมีสารก่อมะเร็งหรือไม่
เจมส์ กิมเซวสกี ศาสตราจารย์ด้านเคมี กล่าวว่ากระบวนการนาโนเทคโนโลยีที่ใช้อุปกรณ์ปลายแหลมจิ๋ว ที่สปริงไปผลักดันเซลล์นั้นก็เพื่อดูว่าเซลล์นั้นมีความนิ่มอย่างไร เพราะมันเป็นตัวแสดงว่าเป็นเซลล์ในกลุ่มมะเร็งหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า “เราต้องใช้การวัดความนิ่มของเซลล์โดยไม่ต้องไประเบิดมัน มิเช่นนั้นมันก็จะเหมือนกับการวัดความนิ่มของมะเขือเทศด้วยค้อน ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเราเห็นมะเขือเทศ 2 ผลในซุปเปอร์มาร์เกต มันมีสีแดงทั้งคู่ ผลหนึ่งเน่าแล้วแต่ยังดูเป็นปกติ ถ้าเราหยิบมะเขือเทศนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆแตะดูให้ทั่ว มันก็จะรู้ได้ว่าเน่าแล้ว เช่นเดียวกันนี่คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”
ที่มา: http://www.thairath.co.th/
Link: http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=70707
นักวิจัยของศูนย์มะเร็งจอห์นสัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแอนเจลิส นำความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยีมาใช้ตรวจหามะเร็ง และยังกำหนดได้ว่ามันแพร่กระจายรวดเร็วเพียงใด โดยพวกเขากล่าวว่าได้ใช้กล้องจุลทรรศน์พลังอะตอมมิคไปแหย่ด้านข้างของเซลล์ที่มีชีวิต เพื่อดูความยืดหยุ่นของเซลล์ดังกล่าว เพราะว่าเซลล์มะเร็งต้องบีบตัวเองเข้าไปในที่แคบขณะเข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย โดยทั่วไปเซลล์ของโรคมะเร็งจะยืดหยุ่นกว่าเซลล์ที่แข็งแรง การใช้กล้องจุลทรรศน์นาโนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เข้าไปจัดการกับส่วนแหลมของมัน จะทำให้ทราบได้ว่าเซลล์มะเร็งนั้นมีความผิดปกติหรือมีสารก่อมะเร็งหรือไม่
เจมส์ กิมเซวสกี ศาสตราจารย์ด้านเคมี กล่าวว่ากระบวนการนาโนเทคโนโลยีที่ใช้อุปกรณ์ปลายแหลมจิ๋ว ที่สปริงไปผลักดันเซลล์นั้นก็เพื่อดูว่าเซลล์นั้นมีความนิ่มอย่างไร เพราะมันเป็นตัวแสดงว่าเป็นเซลล์ในกลุ่มมะเร็งหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า “เราต้องใช้การวัดความนิ่มของเซลล์โดยไม่ต้องไประเบิดมัน มิเช่นนั้นมันก็จะเหมือนกับการวัดความนิ่มของมะเขือเทศด้วยค้อน ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเราเห็นมะเขือเทศ 2 ผลในซุปเปอร์มาร์เกต มันมีสีแดงทั้งคู่ ผลหนึ่งเน่าแล้วแต่ยังดูเป็นปกติ ถ้าเราหยิบมะเขือเทศนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆแตะดูให้ทั่ว มันก็จะรู้ได้ว่าเน่าแล้ว เช่นเดียวกันนี่คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”
ที่มา: http://www.thairath.co.th/
Link: http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=70707
Monday, December 3, 2007
โลกร้อนแล้ว! วิจัยตั้งรับผลกระทบสำคัญกว่าลดสาเหตุ
นักวิจัยระบุโลกร้อนและอากาศแปรปรวนแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นการตั้งรับผลกระทบเพื่ออยุ่ให้ได้ในการเปลี่ยนแปลง
"โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้โลกร้อนแล้ว อากาศแปรปรวนแล้ว แล้วเราจะอยู่อย่างไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้โดยที่เรายังอยู่รอด จากนั้นอีกร้อยปีค่อยมาว่ากันเรื่องการลดภาวะโลกร้อน" คำกล่าวของ ผศ.ดร.อำนาจ ชิดไธสง บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และคณะทำงานกลุ่มที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของก๊าซมีเทนในบรรยากาศทั่วโลกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี)
ทางด้านนางสุปราณี จงดีไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนในไทยว่า การจะแก้ปัญหาในตอนนี้ต้องรู้เรื่องผลกระทบก่อน หากแต่ปัจจุบันเรารณรงค์เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานเป็นสำคัญแต่ไม่ได้พูดถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยการศึกษาผลกระทบต้องอาศัยข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีความละเอียดเพียงพอเพื่อวางแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
"การรณรงค์ใช้ถุงผ้าถือเป็นการสร้างความตระหนักในการเรื่องของการลดการปลดปล่อย แต่สิ่งที่เราต้องสร้างความตระหนักเป็นเรื่องของผลกระทบ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากกว่าการรณรงค์ใช้ถุงผ้าที่เชื่อมโยงกับการลดการปลดปล่อยและเป็นเรื่องของภาคพลังงาน เพราะตอนนี้โลกได้ร้อนแล้ว" นางสุปราณีกล่าว
นางสุปราณีกล่าวถึงอุปสรรคในการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต้องใช้งบประมาณสูงเพราะต้องใช้นักวิจัยที่มีความสามารถสูงและต้องอาศัยข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐในหลายส่วน เช่น ข้อมูลสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ย้อนไป 30 ปี เป็นต้น พร้อมระบุว่าขณะนี้เรายังไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เพราะยังขาดงานวิจัยรองรับ อีกทั้งเผยว่าต้องการข้อมูลจากหลายหน่วยงาน อย่างในภาคเกษตรที่เกษตรกรอาจจะต้องบันทึกข้อมูลว่าในการเพาะปลูกนั้นได้เกิดปัญหาอะไรบ้าง เช่น มีแมลงรบกวนหรือผลผลิตตกต่ำหรือไม่ เป็นต้น
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000141999
Sunday, December 2, 2007
เทคโนประดิษฐ์-วิศวธรรมศาสตร์โชว์รถเข็นคนพิการนั่งได้ยืนดี
ทีมนักวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ออกแบบรถเข็นสำหรับคนพิการที่สามารถปรับยืนด้วยกลไก ช่วยผู้ป่วยลุกขึ้นทำกายภาพบำบัดได้ด้วยตัวเอง
นายบรรยงค์รุ่งเรืองด้วยบุญ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต กล่าวว่า รถเข็นคนพิการแบบปรับยืนได้ไม่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นโครงการวิจัยของนักศึกษาปริญญาตรี ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)
ทีมนักศึกษาเลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อให้มีน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีกำลังแขนดีมีประวัติเคยยืนหรือเดินได้มาก่อน และผู้ป่วยอัมพฤกษ์หรือผู้สูงอายุที่แขนไม่มีแรงแต่ต้องทำการกายภาพบำบัดด้วยการยืนโดยอาศัยคนพยุงช่วย
รถเข็นที่ทีมนักศึกษาช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจนสำเร็จใช้ต้นทุนพัฒนาเพียง 1.5-1.6 หมื่นบาทเท่านั้น เทียบกับของต่างประเทศที่มีมอเตอร์สำหรับปรับยืนอัตโนมัติจะมีราคาหลักแสนบาท แต่เทคโนโลยีที่นักศึกษาพัฒนาขึ้นได้นี้หากมีการเชิงอุตสาหกรรมราคาจะถูกลงอีก ทีมนักวิจัยตั้งใจไว้แล้วว่าจะพัฒนาขึ้นเพื่อให้คนพิการได้ใช้อย่างทั่วถึง
รถเข็นปรับยืนด้วยกลไกช่วยให้ผู้ใช้สามารถยืนได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยทำให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติ ไม่ว่าจะยืนตากผ้า รดน้ำต้นไม้ ทำกับข้าวหรือเพื่อยืดเส้นยืดสายอย่างเดียวก็ตาม
ต้นแบบรถเข็นปรับยืนอัตโนมัติอยู่ระหว่างให้ผู้ป่วย2 รายนำไปทดลองใช้สำหรับเก็บข้อมูลเพิ่ม และฟังคิดเห็นที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม และทีมงานจะพัฒนาจนกว่าจะเหมาะสมกับสรีระร่างกายของผู้ใช้มากที่สุด หลังจากประดิษฐ์คันต้นแบบแล้วเสร็จ และได้ยื่นจดสิทธิบัตรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
"สิ่งที่วิศวกรไทยทำได้ดี และไม่แพ้วิศวกรต่างชาติคือการออกแบบที่ใช้ต้นทุนต่ำเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของคนไทยด้วยกันเอง พร้อมกับการซ่อมบำรุงในราคาที่ย่อมเยา เนื่องจากนำอะไหล่ที่มีอยู่ในประเทศมาประยุกต์ใช้อย่างรู้วิธี เมื่อเทียบกับของต่างชาติที่เวลาจะซื้อมาใช้ก็มีราคาแพง ทั้งยังต้องอาศัยพลังงานจากมอเตอร์ ยามเมื่อเสียจะซ่อมแต่ละครั้งก็ต้องนำเข้าอะไหล่จากนอกซึ่งไม่คุ้มค่านัก อาจารย์ที่ปรึกษาประจำโครงการกล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
"เมืองวิทยาศาสตร์" จินตนาการเด็กสร้างบ้าน-เมืองไร้ปัญหา
โบราณว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" แต่บางทีการคบเด็กสร้างเมืองอาจนำความคิดดีๆ มาสู่ชีวิตคนเราที่มีสารพัดเรื่องรุมเร้าก็ได้ ลองมาดูจินตนาการของเยาวชนในค่าย "เมืองวิทยาศาสตร์" อาจจะโดนใจหลายคนจนอยากจะมีชีวิตอยู่ยาวนานเพื่อรอเมืองในอนาคตก็ได้
ด้วยปัญหารถติดที่เผชิญอยู่ในเมืองหลวง "เชน" หรือ ด.ช.นิพิฐ เจริญงาม นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงวาดภาพเมืองแห่งอนาคต ในจินตนาการของเขาว่า อยากให้มีการเดินทางที่สะดวกโดยไม่ต้องใช้รถส่วนตัวหรือแม้กระทั่งรถประจำทาง แต่ใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตติง (teleporting) ที่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) ที่จะเป็นแหล่งพลังงานของเมือง
"เรามีแดดเยอะและแสงอาทิตย์ก็จะเป็นแหล่งพลังงานได้มาก แม้ปัจจุบันประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานจะมีแค่ 15% แต่อนาคตก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผมก็กำลังทำโครงงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่กว่าจะสำเร็จลงได้ก็อาจจะเลยช่วงชีวิตผมไปแล้วก็ได้" เชนกล่าว
ส่วนสาวน้อยช่างฝันอย่าง "เฟิน" หรือ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ วรขจิต นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แจงว่าอยากให้มี "หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์" ที่จะคอยปราบหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์เอไอ ที่คิดนอกลู่นอกทาง เนื่องจากปัจจุบันหุ่นยนต์เริ่มจะคิดเองได้และตอนนี้เรายังควบคุมได้ แต่อนาคตมนุษย์อาจไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งอยากให้หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์คอยดูแลมนุษย์และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
"เนื่องจากหุ่นยนต์แต่ละตัวจะมีไมโครชิปฝังอยู่ และไมโครชิปแต่ละตัวสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งจะช่วยให้หุ่นยนต์ผุ้พิทักษ์ทราบได้ว่าหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ นั้นคิดอะไรอยู่" เฟินกล่าว พร้อมทั้งเผยว่าอยากเขียนโปรแกรมสร้างระบบปฏิบัติการเล็กๆ ที่เป็นของคนไทย และสามารถใช้งานได้ในองค์กร เพราะส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ซึ่งเป็นของต่างชาติ และอยากพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ภาษาไทยซึ่งคนไทยใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่
จินตนาการเมืองวิทยาศาสตร์ของเยาวชนยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ "โจ้" หรือ ด.ช.ขวัญชัย ปานสุข นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ปทุมธานี เผยถึงเมืองในอนาคตตามความคิดของเขาว่า อยากให้เมืองมีเส้นทางที่แยกเฉพาะสำหรับรถยนต์และคนเดินเท้า โดยทางเดินนั้นก็สามารถเลื่อนได้เองอัตโนมัติ
อีกทั้งอยากให้ทางเฉพาะสำหรบรถด่วนพิเศษเพราะปัจจุบันมีปัญหาที่หลายคนไปทำงานไม่ทัน ส่วนสายไฟก็อยากฝังลงใต้ดิน นอกจากนี้พลังงานที่ขับเคลื่อนเมืองก็อยากให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ร่วมกับพลังงานไฮโดรเจนที่แยกได้จากน้ำ
ขณะที่คนอื่นๆ อาจจะจินตนาการถึงเมืองที่มีความสะดวกสบาย แต่สำหรับ "ต่อ" หรือ ด.ช.ต่อพงศ์ ล้ำเลิศ นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนปทุมคงคา กล่าวว่าความสบายจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพียงแล้วไม่อยากให้มีมากกว่านี้ แต่อยากให้คนสนใจสิ่งแวดล้อมมากกว่า
จินตนาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเยาวชนที่เข้าค่าย "สร้างเมืองวิทยาศาสตร์ในอนาคต" ของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กที่สนใจวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นระหว่าง 30 พ.ย.- 1 ธ.ค.นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมีเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 45 คนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งคัดเลือกจาก 3 กลุ่ม คือกลุ่มเยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (เจเอสทีพี) กลุ่มที่ส่งเรียงความเข้าประกวดและกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียน
ผศ.ดร.ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย ที่ปรึกษาฝ่ายส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษของทีเอ็มซีกล่าวว่า ค่ายนี้จัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษหรือผู้ที่ไม่รู้ตัวว่ามีความสามารถพิเศษ และเป็นการสำรวจ "แวว" ของเด็กที่จะฉายออกมาระหว่างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก คิดและแก้ปัญหา จากนั้นจะได้ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้เข้าโครงการพัฒนาเด็กของทีเอ็มซีอย่างเจเอสทีพีและโครงการอื่นๆ โดยจะสอนให้เยาวชนรู้จักการออกแบบแล้วแบ่งกลุ่มเพื่อลงมือประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในเมืองวิทยาศาสตร์ตามจินตนาการ
"เป็นความพยายามช้อนเด็กที่หลุดลอดจากการคัดเลือกที่ผ่านมา" ผศ.ดร.ยุทธนากล่าว ทั้งนี้เยาวชนในค่ายได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบโดยวิทยากรจากอิสราเอล จากนั้นจะได้ประดิษฐ์ "พัดลม" อย่างง่ายด้วยชุดการเรียนรู้พื้นฐานทางวิศวกรรม K'NEX ที่มีอุปกรณ์พื้นฐานพร้อมให้ประกอบเข้าโดยง่าย ขณะเดียวกันก็สามารถออกแบบให้พัดลมหมุน ส่งเสียงและแสงได้ตามต้องการ ผ่านโปรแกรมสำเร็จที่มีชุดคำสั่งให้ได้ลองเลือกออกแบบพัดลมที่มีคุณสมบัติตามใจ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมให้เด็ก ได้เลือกระหว่างออกแบบบ้าน รถยนต์หรือของเล่นที่จะเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับเมืองวิทยาศาสตร์ในจินตนาการของแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ 3 กลุ่มที่สร้างผลงานถูกใจกรรมการจะได้รับรางวัลด้วย
สำหรับชุดการเรียนรู้ K'NEX ของอิสราเอลที่นำเข้าโดยบริษัท มัลติเอดูเคชั่น จำกัด ซึ่งเคยมีความร่วมกับทีเอ็มซีในการจัดค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนผู้มีความพิการทางสายตา ส่วนจะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ชุดการเรียนรู้ดังกล่าวหรือไม่ ผศ.ดร.ยุทธนากล่าวว่าถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเพราะใช้เป็นอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ให้กับเยาวชนได้โดยการกำหนดหลักสูตรขึ้นมาเอง ขณะที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของชุดการเรียนรู้คือสถานศึกษาต่างๆ เนื่องจากทางบริษัทเน้นขายหลักสูตรที่มูลค่าเป็นเงินบาทอยู่ในหลักแสน
อย่างไรก็ดีจินตนาการของเยาวชนเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นความต้องการเมืองที่ปราศจากปัญหาซึ่งประสบในปัจจุบัน และวิธีแก้ปัญหาที่อาจจะเป็นไปได้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนจะเป็นจริงได้หรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่ความมุ่งมั่นของเขาเหล่านั้นนั่นเอง
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000142592
Saturday, December 1, 2007
นักวิทย์จุฬาฯ ชี้ “พายุ -น้ำหลาก -แผ่นดินทรุด” น่ากลัวกว่า “น้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ”
นักวิทย์จุฬาฯ ชี้ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มนุษย์เร่งให้เกิดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และการโหมใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย ย้ำไม่หวั่นปัญหาน้ำทะเลจะเข้าท่วมกรุงเทพฯ เพราะไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่น่ากลัวกว่า เช่นพายุ น้ำหลาก และแผ่นดินทรุด เสนอต้องให้ความรู้ประชาชนช่วยแก้ปัญหาคนละไม้คนละมือ
เมื่อช่วงสายวันที่ 1 ธ.ค.ในรายการทันโลกวิทยาศาสตร์ ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ คลื่นความถี่เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ดำเนินรายการโดย ผศ.มานิต รุจิวโรดม ได้มีการสัมภาษณ์พิเศษ ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลกระทบถึงประเทศไทย
ผศ.พงษ์ กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนหมายถึงภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจนมีผลกระทบต่อชีวิตพืชและสัตว์ ซึ่งไม่จำเป็นที่อุณหภูมิทั่วโลกจะสูงขึ้นทุกจุด บางจุดอาจมีอุณหภูมิลดลงก็ได้ แต่เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยร่วมกันจะพบว่าอุณหภูมิโดยรวมสูงขึ้น ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นจริงเช่นนั้น โดยการเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะทำให้เห็นภาพได้ถูกต้องกว่า เพราะจะให้ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในหลายรูปแบบและเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างจากภาวะโลกร้อนที่คนมักคิดกันว่า อากาศโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างเดียว และเป็นไปอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ ผศ.พงษ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลานานแล้ว โดยมีวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกๆ 100,000 ปี สลับกันไปมาระหว่างยุคน้ำแข็งประมาณ 80,000 ปี และยุคที่น้ำแข็งเริ่มละลายซึ่งกินเวลาอีกประมาณ 20,000 ปี ก่อนโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกคือ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ ซึ่งโลกจะมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่คงที่ บ้างโคจรเป็นวงกลม โลกก็จะได้รับพลังงานสม่ำเสมอและเกิดความอบอุ่น ขณะที่บางเวลาก็จะโคจรเป็นวงรี ทำให้โลกได้รับพลังงานน้อยลงและกลับเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง
นอกจากนั้น โลกยังมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะคล้ายการผงกศีรษะขึ้นลง 1 -2 องศาด้วย ทำให้แกนโลกเอียง 22 1/2 องศาจนถึง 24 1/2 องศา ซึ่งปัจจุบันแกนโลกเอียง 23 1/2 องศา โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีคาบทุกๆ 41,000 ปี อีกทั้งแกนโลกยังมีการส่ายไปรอบๆ แกนที่ตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ แกนโลกจึงส่ายไปมาคล้ายลูกข่างเป็นคาบๆ ละประมาณ 26,000 ปี ดังนั้นในอีก 13,000 ปี แกนโลกจึงจะเปลี่ยนจากการชี้ไปยังดาวเหนือ (Polaris) ไปเป็นชี้ไปยังดาวเวกา (Vega) และจากนั้นอีก 13,000 ปี แกนโลกจึงกลับมาชี้ไปยังดาวเหนืออีกครั้งหนึ่ง โดยทั้ง 3 วัฏจักรนี้รวมเรียกว่าวัฏจักรของมิลานโควิช (Milankovich cycles) ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกทั้งหมด
แต่แม้โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ผศ.พงษ์ กล่าวด้วยว่า มนุษย์ถือเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วมากที่สุด โดยเฉพาะการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวเก็บสะสมธาตุคาร์บอนลงสู่พื้นดินตลอดหลายล้านปีมาใช้ในเวลาประมาณ 100 ปี จนปัจจุบันเหลือใช้ได้ไม่ถึง 50 ปีแล้ว และส่งผลให้คาร์บอนใต้ผิวดินกลับขึ้นมาหมุนเวียนสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก รวมไปถึงการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นตัวรักษาความชุ่มชื้นของอากาศให้หมดไป ตลอดจนการก่อสร้างตึกอาคาร และการใช้พลังงานอย่างมหาศาล ที่ส่งผลถึงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่พบแล้ว เช่น ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.2 -1.8 องศาเซลเซียส และข้อกังวลว่าธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือจะหดตัวลงมาก จนส่งผลถึงแหล่งต้นน้ำตามธรรมชาติของประเทศซีกโลกเหนือตอนบนที่อาจขาดแคลนแหล่งน้ำอุปโภค –บริโภคได้ในอนาคต อีกทั้งเกรงว่าน้ำแข็งที่ละลายจะไหลลงสู่ทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 1.8 ม.ม./ปีด้วย
อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์ ชี้ว่า แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทยมากนัก โดยเฉพาะปัญหาน้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ ที่หลายฝ่ายกังวลกันซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าจะเกิดปัญหาจริง ขณะที่ปัญหาเรื่องพายุ น้ำทะเลหนุน น้ำหลาก ตลอดจนปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุดปีละนับกว่า 10 ซ.ม.ฯลฯ ถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้น ผศ.พงษ์ กล่าวว่า จึงจำเป็นที่ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนให้ทราบถึงที่มาที่ไปของปัญหา เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันลดปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหากันคนละเล็กละน้อย ซึ่งแม้จะไม่ช่วยให้ไม่ให้เกิดปัญหาได้ แต่ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆ ทุเลาลง เช่น การลดใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบรรเทาวิกฤติ เป็นต้น
ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000142723
Subscribe to:
Posts (Atom)