Thursday, April 19, 2007

หุ่นยนต์ผ่าตัดสมอง


แคนาดาโชว์หุ่นยนต์ผ่าตัดสมองอัจฉริยะ

ทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชาวแคนาดา ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัดสมองอัจฉริยะ ที่สามารถขยายภาพเส้นประสาทที่เล็กที่สุดในสมองออกมาเป็นภาพสามมิติชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา เชื่อว่าจะสามารถลดความเสี่ยงในการผ่าตัดสมองได้อย่างน่าพอใจ

หุ่นยนต์ผ่าตัดสมองอัจฉริยะนี้มีนามว่า neuroArm เป็นหุ่นยนต์ที่ประยุกต์เอาความรู้ด้านการผ่าตัดสมองและวิทยาศาสตร์ยานอวกาศเข้าไว้ด้วยกัน จุดเด่นคือระบบการแสดงผลภาพขยายแบบสามมิติหรือที่เรียกว่า MRI (magnetic resonance imaging) มีกำหนดการนำไปใช้ผ่าตัดจริงในช่วงฤดูร้อนนี้ที่โรงพยาบาลฟูตฮิลส์ (Foothills Hospital) โรงพยาบาลเพื่อการวิจัยในเครือมหาวิทยาลัยการแพทย์คาลการี (University of Calgary) ประเทศแคนาดา

neuroArm นั้นใช้งบประมาณในการพัฒนาราว 27 ล้านเหรียญแคนาดา (ประมาณ 772 ล้านบาท) เป็นผลงานการพัฒนาระหว่างทางมหาวิทยาลัยและบริษัท MacDonald, Dettwiler and Associates ผู้สร้างหุ่นยนต์ CanadArm สำหรับการสำรวจอวกาศให้กับองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯหรือนาซ่า (NASA)

ตามข้อมูลจาก Garnette Sutherland ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมระบบประสาทมหาวิทยาลัยคาลการี ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาโครงการระบุว่า หุ่นยนต์นี้จะทำให้แพทย์สามารถใช้เทคนิคการผ่าตัดศัลยกรรมระดับสูงได้ง่ายและถนัดมือขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งถือเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่ช่วยเปิดมิติใหม่ให้กับการผ่าตัดของศัลยแพทย์และพยาบาลที่น่าจับตามอง

"การร่วมมือกันอย่างจริงจังทำให้เรามีห้องผ่าตัดที่มีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรให้ความช่วยเหลือในการเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดที่ดีขึ้น" Sutherland กล่าวระหว่างการสาธิตการทำงานของหุ่นยนต์ดังกล่าว

neuroArm นั้นจะถูกควบคุมโดยทีมศัลยแพทย์ หุ่นยนต์จะสามารถรับรู้ถึงแรงบีบเครื่องมือที่อยู่ในมือศัลยแพทย์ผู้ควบคุม เช่นตัวยึดจับหรือ surgeon grasp เป็นต้น โดยหุ่นจะสามารถผ่าตัดได้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่นการหลีกเลี่ยงการทำให้เส้นเลือดได้รับความเสียหาย จุดนี้ทำให้ศัลยแพทย์ไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญหรือการฝึกฝนในระยะยาว ถือเป็นข้อได้เปรียบของการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการผ่าตัดได้

ศัลยแพทย์ผู้ควบคุมจะสามารถมองดูการทำงานของหุ่นยนต์ตัวนี้ได้ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ หรือจะชมภาพขยายสามมิติผ่านระบบ MRI ได้ผ่านหน้าจอทัชสกรีน โดยแพทย์สามารถสั่งการและรับฟังรายงานจากหุ่นยนต์ได้ผ่านหน้าจอทัชสกรีนดังกล่าวและไมโครโฟน

"จุดมุ่งหมายสำคัญของเราคือการทำให้การผ่าตัดศัลยกรรมที่ยากนั้นง่ายดายขึ้นและลดความเสี่ยงลง" วิศวกรหุ่นยนต์ Alex Greer ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ส โดยให้ข้อมูลว่า ทีมพัฒนากำลังอยู่ระหว่างการทดสอบเพื่อชี้แจงข้อมูลแก่กระทรวงสาธารณสุขแคนาดาในสัปดาห์หน้า

สำหรับแผนในระยะยาว ยังไม่มีรายงานแผนการทำตลาด neuroArm ในขณะนี้ โดย Bruce Mack รองประธานของ MacDonald, Dettwiler and Associates ยืนยันเพียงว่า ทีมพัฒนาจะวางจำหน่ายหุ่นยนต์ดังกล่าวแก่โรงพยาบาลอื่นๆแน่นอน

ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์ส

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000044735

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลางทะเล


หมีขาวสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลางทะเลแห่งแรกของโลก

บีบีซีนิวส์ – พลังงานนิวเคลียร์เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกที่นับวันจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีคุณอนันต์ ย่อมต้องมีโทษมหันต์ หากไม่รู้จักวิธีป้องกันอันตรายที่ดีพอ ในปัจจุบันยังมีเพียงไม่กี่ประเทศที่นำเอาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งบางประเทศมีอยู่หลายแห่งแล้ว และในเร็วๆนี้ก็กำลังจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในลักษณะที่ลอยอยู่กลางทะเลเป็นแห่งแรกในโลก

รัสเซีย ประเทศมหาอำนาจฝั่งยุโรป เริ่มโครงการยักษ์ สร้างโรงผลิตนิวเคลียร์แบบลอยน้ำอยู่กลางทะเลเป็นแห่งแรกในโลกบริเวณมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของรัสเซีย เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนพื้นที่บริเวณใกล้เคียงโรงงานที่ขาดแคลนพลังงาน พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องทำน้ำบริสุทธิ์กำลังสูงด้วย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้มีมูลค่าถึง 100 ล้านปอนด์ หรือ ราว 6,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานได้ในปี ค.ศ.2010

กระทรวงพลังงานปรมาณูของรัสเซีย (Minatom) ออกมาแถลงเกี่ยวกับการสร้างโรงผลิตนิวเคลียร์กลางทะเลแห่งนี้ว่า อุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่จะใช้สำหรับการก่อสร้างโรงงานและใช้ในโรงงาน จะผลิตและเตรียมจากเมืองเซเวอโรดวิส (Severodvinsk) โดยโรงงานนิวเคลียร์นี้มีชื่อว่า "อคาเดมิค โลโมโนซอฟ" (Akademik Lomonosov) จะมีหน้าที่หลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่เซฟมาช (Sevmash) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเรือ ที่เคยผลิตเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์มาแล้ว และเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการนี้อยู่ 20% ส่วนอีก 80%เป็นของโรเซ็นเนอร์โกอตอม (Rosenergoatom) บริษัทผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์หลักของรัสเซีย

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานปรมาณูชี้แจงว่า จะมีการตรวจสภาพของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นี้ทุกๆ 12-15 ปี และมีมาตรการป้องกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีอยู่ในระดับสูง โอเลก ซาโมยลอฟ (Oleg Samoilov) วิศวกรอาวุโสของโครงการนี้กล่าวว่า หากเกิดอุบัติเหตุที่เลวร้ายที่สุดจากการทำลายล้างของกัมมันตภาพรังสีในบริเวณที่รังสีรั่วไหลออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องอพยพประชากรออกจากพื้นที่ห่างจากโรงงานในรัศมี 1 กิโลเมตร

ทั้งนี้ทางรัสเซียก็หวังว่า ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกจะให้ความสนใจและสั่งซื้อเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลอยน้ำไปใช้ ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 12 ประเทศที่สนใจโครงการนี้มากทีเดียว และทางรัสเซียก็ตั้งเป้าว่าจะผลิตให้ได้ 7 โรง ภายในปี ค.ศ.2015

ทางด้านนักสิ่งแวดล้อมหลายคนก็ออกมาโต้แย้งถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ชารลส์ ดิกส์ (Charles Digges) บรรณาธิการเว็บไซต์ Norwegian-based Bellona กล่าวกับสำนักข่าวเอพีถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลอยน้ำโรงนี้ว่า จะไม่มีความปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงโดยเด็ดขาด

“มีความเสี่ยงทั้งในเรื่องของชิ้นส่วนที่อาจจมลงไปใต้น้ำ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ไปยังพื้นที่ที่จะก่อสร้างเป็นโรงงาน” ดิกส์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันประเทศรัสเซียมีการผลิตกระแสไฟฟ้าได้จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 17%ของปริมาณกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ผลิตจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด 31 เครื่อง ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 10 แห่ง จะเพิ่มปริมาณการผลิตให้ได้ถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียว

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000044481

เอ็มเทคดัน LNG ใช้แทนน้ำมัน


เอ็มเทคดัน LNG ใช้แทนน้ำมัน แต่ต้องนำเข้าเพราะก๊าซไทยไม่เหมาะ

เอ็มเทคดันก๊าซธรรมชาติเหลวใช้แทนน้ำมันและซีเอ็นจี ชี้หลายประเทศใช้งานกันแพร่หลายในภาคขนส่งและผลิตไฟฟ้า เหตุปลอดภัย กินพื้นที่น้อย น้ำหนักเบา และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ชี้ก๊าซธรรมชาติไทยไม่เหมาะที่จะแปรรูปเป็นของเหลว ต้องนำเข้ามาใช้ทันปี 54 เชื่อมีนักวิจัยในประเทศเพียงพอ ขณะที่กระทรวงพลังงานเร่งทำระเบียบความปลอดภัยตอบรับความต้องการเอกชน

การบรรยายพิเศษในหัวข้อ "อนาคตของถังบรรจุก๊าซธรรมชาติจาก CNG ถึง LNG" ที่จัดโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ระหว่างการประชุมประจำปีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) หรือ NAC 2007 เมื่อปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมามีผู้สนใจเข้าร่วมรังฟังอย่างคึกคัก

ผศ.ดร.พิพล บุญจันต๊ะ นักวิจัยเอ็มเทค ได้กล่าวถึงอนาคตของการใช้ก๊าซธรรมชาติว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากการพึ่งพิงน้ำมันไปสู่ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีราคาถูกและปลอดมลพิษนั้น การเก็บก๊าซธรรมชาติในรูปของก๊าซธรรมชาติอัด (ซีเอ็นจี) และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่อุณหภูมิติดลบ 160 องศาเซลเซียส กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก

โดยเฉพาะแอลเอ็นจีที่หลายประเทศได้นำไปใช้งานต่างน้ำมันแล้ว รายใหญ่ที่สุดคือญี่ปุ่น รองลงมาคือเกาหลีใต้ที่ใช้แอลเอ็นจีผลิตไฟฟ้า ภาคการขนส่งมวลชน และการขนย้ายสินค้าด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ โดยการนำเข้าแอลเอ็นจีจากประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญคือ กาตาร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก ตลอดจนถึงประเทศเพื่อนบ้านไทยอื่นๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย อิหร่าน และสหรัฐอเมริกา

ข้อดีของแอลเอ็นจีเมื่อเทียบกับซีเอ็นจีคือ สามารถเก็บก๊าซธรรมชาติได้ด้วยพื้นที่น้อยกว่าซีเอ็นจี 2.4 เท่า มีน้ำหนักเบาหว่าถังซีเอ็นจี 5 เท่า มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมีค่าบำรุงรักษาสถานีบริการถูกกว่าแบบซีเอ็นจี 5 เท่า และประหยัดค่าไฟฟ้าในสถานีบริการได้มากกว่า 10 เท่า โดยในส่วนของประเทศไทยคาดว่าในปีหน้าจะมีสถานีบริการเกิดขึ้นได้มากกว่า 320 แห่งทั่วประเทศ

ทว่าก๊าซธรรมชาติของไทยกลับมีปริมาณธาตุคาร์บอนมากเกินไปจนไม่เหมาะที่จะแปรรูปเป็นก๊าซธรรมเหลว จึงอาจนำเข้าแแอลเอ็นจีจากต่างประเทศมาใช้ทดแทนได้ทันที โดยภายในปี 54 นี้ประเทศไทยก็อาจมีสถานีแอลเอ็นจีเปิดใช้อย่างแพร่แล้ว ขั้นต้นเพื่อใช้ในภาคการขนส่งมวลชนและสินค้า แต่ก็ต้องมีกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวดด้วยเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ดร.สมัย ใจอินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพลังงานทดแทนศูนย์เอ็มเทค กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยยังไม่กล้าลงทุนในเรื่องแอลเอ็นจีเท่าที่ควร เพราะแอลเอ็นจียังเป็นเรื่องใหม่ สำหรับคนไทยที่ยังมีความเคยชินกับการใช้น้ำมันมาก แม้ว่าแอลเอ็นจีถือเป็นแหล่งพลังงานอนาคตที่มีความหวังมากในประเทศไทย

ความท้าทายในอนาคตคือการเปลี่ยนรูปก๊าซธรรมชาติให้เป็นผลึกหรือก๊าซเม็ดที่เวลานี้มีการวิจัยในห้องปฏิบัติการของต่างประเทศบ้างแล้ว โดยในการเตรียมความพร้อมด้านวัสดุศาสตร์เพื่อใช้แอลเอ็นจีในอนาคต ศูนย์เอ็มเทคมีบุคลากรระดับปริญญาเอกที่ศึกษาพฤติกรรมโลหะในสภาวะเย็นยิ่งยวดประมาณ 10 ราย ซึ่งเมื่อรวมกับนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็น่าจะมีจำนวนรวมกันถึง 40-50 ราย ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการในเบื้องต้น

ขณะที่นายวิฑูรย์ เจนวิริยะกุล ผอ.สำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ทางสำนักงานกำลังเร่งจัดทำระเบียบด้านความปลอดภัยของการใช้แอลเอ็นจีขึ้นให้ทันต่อความต้องการของภาคเอกชนที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปลายปีนี้ บริษัทพลังงานรายใหญ่แห่งหนึ่งจะเริ่มนำร่องสถานีก๊าซแอลเอ็นจีใน 4 จุดทั่วประเทศ เช่นที่ จ.สุโขทัย ระยอง นครศรีธรรมราช และอุดรธานี

ทั้งนี้ ตามปกติแล้วถังแอลเอ็นจีจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 15-20 ปี โดยอายุการใช้งานจะขึ้นอยู่กับความถี่ของการเติมก๊าซด้วย สำหรับถังที่ผลิตออกมาใช้งานต้องได้มาตรฐานและผ่านการทดสอบความปลอดภัยจากวิศวกร อีกทั้งต้องมีการตรวจสภาพด้วยสายตาทุกๆ 3 ปี และตรวจสภาพอย่างละเอียดทุกๆ 5 ปีจนกว่าจะหมดอายุการใช้งาน

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000036596

ผนังบ้านนาโนเทค


ผนังบ้านนาโนเทค รับมือภัยแผ่นดินไหว

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังวิเคราะห์แบบแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ว่าเหตุแผ่นดินไหว จะเกิดขึ้นวันไหน เมื่อไหร่ เวลาใด เวลาเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาจริงๆ..

สาเหตุที่คนตายกันเป็นเบือก็เพราะตึกรามบ้านช่องถล่มลงมาทับ

ล่าสุด นักวิจัยของสถาบันนาโนเทคโนโลยี "เอ็นเอ็มไอ" มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ จึงคิดค้นวิธีการลดความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหว โดยกำลังพัฒนาผนังอาคาร-ผนังบ้านนาโน ซึ่งไม่มีวันแตกร้าวเด็ดขาด
ผนังนาโนดังกล่าวผลิตจากโครงสร้างของเหล็กกับยิปซัมชนิดพิเศษซึ่งข้างในเนื้อยิปซัมนั้นมีอนุภาคนาโนโพลิเมอร์ผสมอยู่ด้วย เมื่อใดก็ตามที่ผนังบ้าน-ผนังอาคารเกิดเขย่า สั่นไหว เพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว
อนุภาคนาโนโพลิเมอร์ก็จะถูกเขย่าให้ไหลไป "อุด" ตามรอยแตกต่างๆ จากนั้นก็จะแปรสภาพจาก "ของเหลว" เป็น "ของแข็ง" ทำหน้าที่ค้ำยัน ไม่ให้ผนังแตก หัก พังลงมา!

โครงการนี้ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยจากสหภาพยุโรป (อียู) ประมาณ 665 ล้านบาท บ้านต้นแบบที่สร้างด้วยผนังนาโนจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ที่เมืองแอมฟิโลเชีย ประเทศกรีซ ถ้าทดสอบแล้วสามารถใช้งานได้จริง มีความแข็งแกร่งจริงๆ

จะนับเป็นเทคโลยีใหม่ที่ช่วยรักษาชีวิตประชากรโลกให้รอดพ้นจากมหันตภัยแผ่นดินไหวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

ที่มา: http://www.matichon.co.th/
Link: http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03tec05190450&day=2007/04/19§ionid=0326

เผาศพมีส่วนทำ 'โลกร้อน'


เผาศพมีส่วนทำ 'โลกร้อน' แนะใส่โลงกระดาษฝังใต้ต้นไม้

เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียออกมาเรียกร้อง ให้ยุติประเพณีเผาศพซึ่งมนุษย์ทำกันมาเป็นพันๆ ปี โดยให้เหตุผลว่าการปฏิบัติดังกล่าวมีส่วนทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

โรเจอร์ ชอร์ต (Roger Short) ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาสืบพันธุ์ แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น แนะนำว่า คนเราควรหันไปใช้วิธีซึ่งสามารถช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมได้ภายหลังการเสียชีวิต เป็นต้นว่า การบรรจุศพไว้ในกล่องกระดาษแข็งแล้วนำไปฝังไว้ใต้ต้นไม้

เขาอธิบายว่า ด้วยวิธีนี้ ศพที่ค่อยๆ เน่าสลายไปจะกลายเป็นสารอาหารของต้นไม้ โดยที่ต้นไม้ก็ทำหน้าที่เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ให้กลายเป็นก๊าซออกซิเจนที่ชีวิตต้องการไปได้อีกหลายสิบปีทีเดียว

"เรื่องที่สำคัญคือ มันน่าละอายไหมที่จะเผาศพในช่วงเวลาที่คุณประสบกับภาวะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงลิ่ว" ชอร์ตกล่าว "ทำไมถึงปล่อยให้มีคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นอีกจากความตายของคุณ"

ชอร์ตบอกว่า การเผาศพผู้ชายรูปร่างระดับเฉลี่ยในออสเตรเลียคนหนึ่ง โดยศพจะต้องถูกเผาในความร้อนระดับ 850 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 90 นาทีนั้น จะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากกว่า 50 กิโลกรัมทีเดียว โดยนั่นยังไม่รวมเอาต้นทุนคาร์บอนที่มีอยู่ในเชื้อเพลิง หรือต้นทุนไอเสียที่จะถูกปล่อยออกมาระหว่างการผลิตและการเผาโลงที่ทำด้วยไม้

ศาสตราจารย์ออสซี่ผู้นี้กล่าวว่า อันที่จริงการผลิตก๊าซเรือนกระจกจากการเผาศพนั้นยังถือว่ามีปริมาณเล็กน้อย และเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะห้ามปรามผู้คนไม่ให้เลือกปลงศพตามประเพณีทางศาสนาของตน

แต่ถ้าจะปลงศพแบบไม่ให้บาดหมางกับนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเลย เขาก็ขอแนะนำว่า มันไม่ใช่แนวความคิดที่เลวหรอกที่จะยกร่างกายของตนให้เป็นอาหารแก่ต้นไม้พงไพร

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000044604

เนคเทคเปิดตัวเวบไซต์คลื่นข่าว

เนคเทคเปิดตัวเวบไซต์คลื่นข่าว

ถ้าเป็นสองสามปีก่อน นักท่องอินเตอร์เน็ตอาจต้องเปิดหลายเวบไซต์เพื่อติดตามข่าวสาร สาระและบันเทิงจากเวบไซต์ข่าวของสำนักต่างๆ แต่หลังจากเกิดเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “ระบบส่งข่าวอัตโนมัติ” ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารใหม่ได้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน

ระบบส่งข่าวอัตโนมัติ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า อาร์เอสเอส (RSS) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนที่สนใจอ่านข่าวสาร และติดตามความก้าวหน้าของข่าวได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันจะเห็นว่ามีเวบไซต์หลายแห่งแสดงเครื่องหมาย “RSS” ไว้หน้าหัวข้อข่าว เพื่อให้ผู้ใช้นำ “ลิงค์” ไปใส่ไว้ในโปรแกรมอ่านข่าว

การรับข่าวผ่านเทคโนโลยีอาร์เอสเอสสามารถทำได้สองแบบ อย่างแรกเป็นการอ่านผ่านโปรแกรม ซึ่งมีอยู่หลายโปรแกรมด้วยกัน เช่น RSS Feeder และอย่างที่สองซึ่งสะดวกกว่าเป็นการอ่านจากโปรแกรมท่องอินเตอร์เน็ตหรือเวบบราวเซอร์โดยตรง แต่ยังจำกัดเพียงเวบบราวเซอร์ไม่กี่ตัวเท่านั้น เช่น โมซิล่า ไฟร์ฟ็อกซ์ และอินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ 7 ที่มาพร้อมกับวินว์วิสต้า ระบบปฏิบัติการตัวใหม่ของไมโครซอฟท์เท่านั้น

ดร.กุลวดี ศรีพานิชกุลชัย นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า เนคเทคได้พัฒนาเวบไซต์สำหรับอาร์เอสเอสที่รายงานข่าวสารเป็นเสียงพูดให้ประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารได้เหมือนกับฟังข่าววิทยุด้วย

“ไม่เพียงแต่ผู้พิการทางสายตาเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากเวบไซต์ www.rssthai.com ประชาชนทั่วไปสามารถใช้โทรศัพท์บ้านและโทรศัพท์มือถือต่อสายเข้ามาฟังข่าวสารเช่นกัน เพียงแค่โทรเข้ามาตามหมายเลขที่กำหนด และเลือกว่าจะรับฟังข่าวประเภทใด อาทิ ข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ข่าวต่างประเทศ เป็นต้น” ดร.กุลวดี กล่าว

เมื่อผู้ใช้โทรเข้ามา และเลือกประเภทข่าวที่จะรับฟัง ระบบจะเริ่มทำงานโดยดึงข้อมูลจาก www.rssthai.com โดยจะอ่านหัวข้อข่าวและเนื้อข่าวโดยสรุปให้ฟัง

ระบบทำงานบนไอพี พีดีเอ็กซ์ (ITPDX) เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถรับสายโทรศัพท์ โดยทางทีมวิจัยจะมีตัวต่อเชื่อมต่อระบบที่สามารถรับสายโทรศัพท์เข้ามาในระบบและโอนไปยังโปรแกรม ขณะเดียวกันก็ดึงข่าวจากอินเทอร์เน็ตทำการอ่าน ตัดข่าวและเรียบเรียงคำพูดส่งไปยังซอฟแวร์ของเนคเทคที่ชื่อว่า เท็กซ์ ทู สปีช (Text to Speech) เป็นระบบสังเคราะห์เสียงจากประโยคตัวอักษร

จากการทดสอบระบบสามารถใช้งานได้ตามที่ออกแบบไว้ แต่เสียงสังเคราะห์ยังฟังดูไม่เป็นธรรมชาติและยังคงต้องปรับปรุงให้เซิร์ฟเวอร์รองรับคู่ให้มากขึ้น

ในอนาคต ทางผู้วิจัยยังคงต้องพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ทั้งระบบฟังข่าวจราจร ตลอดจนเพิ่มชิ่งสัญญาณรองรับคู่สายโทรศัพท์ คาดว่าระบบสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในปลายปี 2550

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, April 18, 2007

ไอซีทีใช้คอมพ์มือสอง

ไอซีทีใช้คอมพ์มือสอง ลดช่องว่างการเรียนรู้

ไอซีทีเดินหน้าลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างคนเมืองและชนบท ใช้คอมพ์มือสองเปิดโลกกว้าง ลุยขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายรับบริจาคคอมพ์เก่า

นางมณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเข้าถึงการใช้คอมพิวเตอร์ ของคนต่างจังหวัดมีน้อย ต่างจากคนในเมืองหลวง ดังนั้น กระทรวงไอซีทีจึงเปิดรับบริจาคเครื่องคอม พิวเตอร์มือสอง สภาพพร้อมใช้งาน โดยกระทรวงไอซีทีจะนำมาปรับปรุงก่อนคัดเลือกคุณสมบัติให้ตรงกับความต้องการก่อนส่งให้หน่วยงานที่ยื่นแสดงความประสงค์ เบื้องต้นประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเอกชน มหาวิทยาลัย และประชาชนที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ สามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์เก่ามาบริจาคได้ โดยกระทรวงไอซีทีจะนำไปบริจาคให้ กับหน่วยงานในพื้นที่ห่างไกล

“คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าของคนในเมือง ที่อาจดูไร้ประโยชน์ แต่สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ ห่างไกล เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่รวบรวมแหล่งความรู้จากทั่วโลกไว้ โดยสามารถใช้ในการสืบค้นข้อมูลเป็นการลดช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยี และความรู้ระหว่างคนในเมืองและคนในชนบท” นางมณีรัตน์ กล่าว

เบื้องต้นกระทรวงไอซีทีดำเนินการบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์มือสองที่ได้รับบริจาคจากบริษัท อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 50 เครื่อง ให้กับหน่วยงานราชการและโรงเรียนที่ขาดแคลนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และอ่างทองแล้ว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/
Link: http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124426&NewsType=1&Template=1

เส้นทาง “เด็กรักดาว”

เส้นทาง “เด็กรักดาว” ผ่านเวที “ดาราศาสตร์โอลิมปิก”

"เหรียญทอง" อาจเป็นเป้าหมายของการแข่งขันในหลายๆ เวที ไม่ว่าจะเป็น "กีฬาโอลิมปิก" และแม้ "โอลิมปิกวิชาการ" ก็น่าจะมีเป้าหมายไม่ต่างกัน แต่สำหรับเด็กๆ กลุ่มหนึ่งกลับมองว่า “ดาราศาสตร์โอลิมปิก” ก็คือเวทีหนึ่งที่สร้างโอกาสให้พวกเขาได้ไปถึง “ดวงดาว” นั่นคือการเป็น “นักดาราศาสตร์”

กนกวรรณ ศักดิ์สกุลไกร หรือ “แพร” นักเรียน ม.5 โรงเรียนศึกษานารี กำลังอยู่ระหว่างลุ้นว่าจะผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนศูนย์สมาคมดาราศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นศูนย์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระดับกรุงเทพมหานครของมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) เพื่อไปแข่งดาราศาสตร์โอลิมปิกระดับประเทศที่จะจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในเดือน พ.ค.นี้หรือไม่ แต่ถึงไม่ได้ เธอก็ไม่เสียใจเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของเธอคือการได้รับความรู้ดาราศาสตร์จากการเข้าค่ายดาราศาสตร์โอลิมปิก

“ความรู้ที่ได้จากการเข้าค่ายเป็นความรู้ในภาพกว้างของดาราศาสตร์” แพรซึ่งตั้งใจจะเป็นนักดาราศาสตร์ในอนาคตเผยถึงสิ่งที่ได้รับจากการเข้าค่าย ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่สนามแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกเธอได้ผ่านการฝึกฝนความรู้ทางด้านดาราศาสตร์จากการทำวิจัยเรื่อง “ฝนดาวตก” และ “ดาวแปรแสง” (Variable star) ในโครงการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (ลีซา) ซึ่งเธอกล่าวว่าการทำวิจัยทำให้มีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่ศึกษา

ด้าน พิสิฏฐ นิธิยานันท์ หรือ “หวาย” เยาวชนผู้คว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกระดับเอเชียแปซิฟิกและยังเป็นผู้ที่คว้าตำแหน่งแฟนพันธุ์แท้ “ดาราศาสตร์” จากการแข่งขันตอบปัญหาในรายการโทรทัศน์ ซึ่งความสำเร็จที่ได้รับมานั้นไม่ได้ทำให้เขาหยุดที่จะสานฝันสู่การเป็นนักดาราศาสตร์ โดยหลังจากเพิ่งจบชั้น ม.ปลาย จากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ในปีการศึกษา 2549 นี้ เขาก็ได้เลือกศึกษาต่อในภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าจะได้ใกล้ชิดกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)

หวายกล่าวว่าวิชาดาราศาสตร์ยังไม่ถูกบรรจุให้เป็นวิชาหลักเหมือนวิชาอื่นๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี หรือชีววิทยา ครูหรือตำราก็ไม่พร้อม ค่ายดาราศาสตร์โอลิมปิกจึงช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ได้ และโดยส่วนตัวเขาเองนั้นก็ผ่านการเข้าค่ายดาราศาสตร์โอลิมปิกตั้งแต่ ม.ต้น-ม.ปลาย ถึง 3 รุ่น ซึ่งก็ทำให้ได้รับความรู้พอสมควร

ส่วน วศิน สุทธิสันธิ์ หรือ “วิน” นักเรียน ม.ปลายที่กำลังจะจบจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ได้ค้นพบว่าตัวเองชื่นชอบดาราศาสตร์และคิดว่าเป็นแนวทางที่จะเลือกเดินต่อไปในอนาคต โดยเขาได้ค้นคว้าข้อมูลดาราศาสตร์ด้วยตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ต และมีโอกาสได้เข้าค่ายดาราศาสตร์โอลิมปิกด้วยคะแนนสอบแข่งขันเป็นอันดับ 1 แต่ที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้อเพราะจุดมุ่งหมายของเขาคือการได้เป็นนักดาราศาสตร์ ดังนั้นช่วงเวลาที่นักเรียนทั้งหลายจะลุ้นผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น เขาก็ลุ้นผลสอบเข้าภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเขาให้เหตุผลที่เลือกสถาบันดังกล่าวว่าเป็นสถาบันที่มีการสอนดาราศาสตร์อย่างจริงจังและอยู่ใกล้กับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ด้วย

ขณะที่ ทรงเกียรติ นุตาลัย หรือ “เอ” นักเรียนจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กำลังจะไปศึกษาต่อทางด้านดาราศาสตร์จนถึงปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกาด้วยทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ ในสาขาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ โดยเขาต้องสอบแข่งขันกับนักเรียนทั้งประเทศแม้ว่าเขาจะเป็นตัวแทนประเทศที่สามารถคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศเมื่อปี 2548 ซึ่งต่างไปจากตัวแทนโอลิมปิกวิชาการสาขาอื่นๆ ที่จะได้รับ “ทุนโอลิมปิกวิชาการ” ไปศึกต่อต่างประเทศโดยไม่ต้องสอบชิงทุน

เอกล่าวว่าตั้งใจจะไปเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนียหรือคาลเทค (California Institute of Technology: Caltech) เพราะอยู่ใกล้แหล่งวิจัยที่สำคัญ และมีกล้องดูดาวขนาดใหญ่แบบใช้แสงและแบบใช้คลื่นวิทยุ อยู่ใกล้ทะเลทรายซึ่งเหมาะแก่การศึกษาดาราศาสตร์เพราะไม่มีอะไรรบกวน รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียง แต่หากไม่ได้เรียนที่คาลเทคก็อาจจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาวาย (University of Hawaii) ซึ่งมีกล้องดูดาวและมีงานวิจัยที่น่าสนใจเช่นกัน

“สนใจทางด้านนี้เพราะได้ศึกษาสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้ เป็นการศึกษาที่กว้างขวาง ไม่สิ้นสุด และเปลี่ยนแปลงได้ตลอด” เอกล่าวถึงความชอบที่มีต่อดาราศาสตร์ พร้อมทั้งเปิดเผยว่าอยากทำงานที่ สดร. เพราะเรียนทางด้านนี้หากได้ทำงานวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ก็นับว่าดีแล้ว และการได้แข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกก็ทำให้ตัวเองได้ค้นพบว่าสนใจและถนัดในด้านนี้ แต่หากไม่ได้เข้าร่วมดาราศาสตร์โอลิมปิกก็อาจจะเบนเข็มอนาคตตัวเองไปที่วิศวกรรมศาสตร์ เพราะสนใจวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้การคำนวณ อีกทั้งก็ยังไม่ทราบด้วยว่าเรียนดาราศาสตร์แล้วจะไปทำอะไร แต่ตอนนี้ทราบแล้ว

“พอทราบว่ามี สดร.ก็ดีใจ เรียนทางด้านนี้หากได้ทำงานที่ สดร.ก็นับว่าดีแล้ว จบมาแล้วอยากเอาความรู้มาพัฒนาวงการดาราศาสตร์ในเมืองไทย เพราะไทยมีนักวิจัยสาขาอื่นพอสมควร แต่ด้านนี้ยังน้อยอยู่ อยากให้ไทยได้เข้าร่วมกับองค์กรดาราศาสตร์ระดับนานาชาติ และพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพมากพอ” เอกล่าว

...เส้นทางสู่ “ดวงดาว” ของเยาวชนเหล่านี้อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่พวกเขาก็มีเป้าหมายรวมกันคือการเป็น นักดาราศาสตร์” ซึ่ง “โอลิมปิกวิชาการ” อาจจะเป็นเวทีช่วยให้พวกเขามองเห็นฝันของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่เหรียญรางวัลก็คือผลพลอยได้ระหว่างการเดินทางเท่านั้นเอง...

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000038086

รายงานโลกร้อน


รายงานโลกร้อนชี้ เหลือเวลาแก้ปัญหาอีกไม่มาก

เอเจนซี - แม้การต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายมากนัก แต่รัฐบาลต่างๆ เหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะหลบเลี่ยงสภาวะอุณหภูมิเพิ่มสูงอันจะก่อความเสียหายได้

ร่างรายงานขององค์การสหประชาชาติซึ่งมีกำหนดออกเผยแพร่ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 พ.ค. ชี้ว่า ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ซึ่งสหภาพยุโรปเห็นว่าเป็นระดับอุณหภูมิที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ "อย่างน่าอันตราย"

รายงานนี้ถือเป็นส่วนที่ 3 ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (The Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) ที่ออกมาในปี 2007 เนื้อหาของรายงานส่วนนี้เน้นหนักไปที่เหตุการณ์จำลอง 2 เหตุการณ์ โดยบอกว่า การจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจมีค่าใช้จ่ายเท่ากับ 0.2% หรือ 0.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ทั่วโลก ในปี 2030

บางตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ เป็นต้นว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันและถ่านหิน อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกได้เล็กน้อยด้วยซ้ำไป

สำหรับสถานการณ์จำลองแบบเข้มงวดที่สุด ซึ่งรัฐบาลต่างๆจะต้องแน่ใจว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกจะเริ่มลดลงภายในเวลา 15 ปี จะต้องเสียค่าใช้จ่าย 3% ของจีดีพีโลกภายในปี 2030

ข้อสรุปของรายงานฉบับนี้สอดคล้องกับรายงานเมื่อปีที่แล้วของนิโคลัส สเติร์น (Nicholas Stern) อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก ที่ประเมินว่า ค่าใช้จ่ายในการลงมือชะลอภาวะโลกร้อนในตอนนี้ อยู่ที่ประมาณ 1% ของจีดีพีโลก เทียบกับตัวเลขที่สูงถึง 5-20% ในอนาคต ถ้าพวกเรายังไม่รีบลงมือ

วิธีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำได้ง่าย ตามที่เสนอไว้ในร่างรายงานฉบับนี้ ได้แก่ การใช้พลังงานฟอสซิลให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้, เปลี่ยนมาใช้พลังงานรูปแบบอื่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ หรือพลังงานนิวเคลียร์ ตลอดจน จัดการการปลูกป่าและการทำเกษตรกรรมให้ดีกว่านี้

ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจนอกเหนือจากการประหยัดพลังงานก็คือ สุขภาพจะดีขึ้นเนื่องจากมลพิษน้อยลง, ภาคเกษตรกรรมเสียหายจากฝนกรดน้อยลง และมีความมั่นคงด้านพลังงานเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการลดการนำเข้าพลังงาน

เหตุการณ์จำลองในการยอมเสียจีดีพีแค่ 0.2% ในปี 2030 เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน จะรักษาระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศในปี 2030 ให้อยู่ที่ 650 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm) ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 430 ppm

"การประมาณแบบเจาะจงที่สุด" ชี้ให้เห็นว่า นั่นอาจทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 3.2-4.0 องศาเซลเซียส จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ยิ่งมีมาตรการที่รัดกุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มาก ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

โดยในกรณีที่มีมาตรการเข้มงวดที่สุด ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่าย 3% ของจีดีพี จะสามารถจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงไปอยู่ที่ 445-535 ppm ภายในปี 2030 ซึ่งน่าจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2-2.4 องศาเซลเซียส

ด้าน บันคีมุน เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น กล่าวกับ นสพ.ไฟแนนเชียลไทมส์ว่า ยูเอ็นกำลังพิจารณาให้จัดการประชุมระดับสูงเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภายในปีนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การประชุมระดับผู้นำสุดยอดได้ในปี 2009

การประชุมระดับสูง ซึ่งน่าจะมีรัฐมนตรีและผู้แทนระดับท็อปเข้าร่วม เป็น "หนทางที่ปฏิบัติได้และเป็นไปได้จริง"มากที่สุด บันกล่าว

การประชุมนี้ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใกล้ๆกับการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์กในเดือนกันยายน "อาจได้แนวทางปฏิบัติชัดเจนเพื่อประชุมในเดือนธันวาคมที่บาหลีก็เป็นได้" บันกล่าว ซึ่งการประชุมที่บาหลีนั้นเป็นการประชุมของยูเอ็นเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

หากการประชุมระดับสูงในเดือน ก.ย.ประสบความสำเร็จ "จะต้องมีการพูดคุยเกี่ยวกับการประชุมระดับผู้นำสุดยอดในภายหลัง" บันกล่าวกับไฟแนนเชียลไทมส์ "อาจเป็นปี 2008 หรือ 2009"

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000044188

ไอซีทีใช้คอมพ์มือสอง

ไอซีทีใช้คอมพ์มือสอง ลดช่องว่างการเรียนรู้

ไอซีทีเดินหน้าลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างคนเมืองและชนบท ใช้คอมพ์มือสองเปิดโลกกว้าง ลุยขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายรับบริจาคคอมพ์เก่า

นางมณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเข้าถึงการใช้คอมพิวเตอร์ ของคนต่างจังหวัดมีน้อย ต่างจากคนในเมืองหลวง ดังนั้น กระทรวงไอซีทีจึงเปิดรับบริจาคเครื่องคอม พิวเตอร์มือสอง สภาพพร้อมใช้งาน โดยกระทรวงไอซีทีจะนำมาปรับปรุงก่อนคัดเลือกคุณสมบัติให้ตรงกับความต้องการก่อนส่งให้หน่วยงานที่ยื่นแสดงความประสงค์ เบื้องต้นประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเอกชน มหาวิทยาลัย และประชาชนที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ สามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์เก่ามาบริจาคได้ โดยกระทรวงไอซีทีจะนำไปบริจาคให้ กับหน่วยงานในพื้นที่ห่างไกล

“คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าของคนในเมือง ที่อาจดูไร้ประโยชน์ แต่สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ ห่างไกล เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่รวบรวมแหล่งความรู้จากทั่วโลกไว้ โดยสามารถใช้ในการสืบค้นข้อมูลเป็นการลดช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยี และความรู้ระหว่างคนในเมืองและคนในชนบท” นางมณีรัตน์ กล่าว

เบื้องต้นกระทรวงไอซีทีดำเนินการบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์มือสองที่ได้รับบริจาคจากบริษัท อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 50 เครื่อง ให้กับหน่วยงานราชการและโรงเรียนที่ขาดแคลนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และอ่างทองแล้ว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/
Link: http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=124426&NewsType=1&Template=1

Tuesday, April 17, 2007

ชาติเอเชียแข่งกันเป็นเจ้าอวกาศ

ชาติเอเชียแข่งกันเป็นเจ้าอวกาศ จีนออกหน้าญี่ปุ่น ไล่กวดตามติด

สหรัฐฯเจ้าอวกาศหมายเลข 1 ของโลก โดน ชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติเอเชียท้าทายตำแหน่ง มากขึ้น อย่างเช่น จีนเพิ่งทดลองจรวดยิงดาวเทียม กระเด็นหลุดจากวงโคจร เกาหลีเหนือยิงจรวดข้ามหัวญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นต้องทุ่มเงินหลายพันล้านสร้างดาวเทียมจารกรรมบ้าง ทางอินเดียชาติยักษ์เอเชียคู่แข่งกับจีนก็ก้าวหนีไปให้ไกลอีก เตรียมจะส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์

กล่าวได้ว่า ชาติต่างๆของทวีปเอเชียกำลัง แข่งขันกันเป็นเจ้าอวกาศอยู่อย่างดุเดือด เพราะ ต่างถือว่าการตั้งโครงการอวกาศไม่เพียงแต่ เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา แม้ว่าจะต้องลงทุนลง รอนอย่างหนัก หากแต่ เป็นเรื่องความมั่นคงของ ชาติด้วย โดยมีจีนซึ่งเคยส่งมนุษย์อวกาศขึ้น วงโคจรมาแล้วเป็นฝ่าย นำหน้าอยู่ขณะนี้ และมีญี่ปุ่นไล่กวดอยู่ติดๆ

นอกจากอินเดียแล้ว ชาติเอเชียชาติอื่น ที่ต่างก็เป็นเจ้าของดาว เทียมด้วยกัน ยังมีเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มา เลเซีย และไต้หวัน ที่สำคัญญี่ปุ่นเพิ่งสร้างข่ายดาวเทียมจารกรรม จำนวน 4 ดวง เสร็จลง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่แล้วนี้ ซึ่งสามารถเฝ้าดูดินแดนทุกแห่งบนโลก ได้ทั้งวัน

ทั้งญี่ปุ่น จีน อินเดีย ทุกวันนี้ต่างยิงจรวดเข้าสู่อวกาศได้ด้วยกัน ในขณะที่เกาหลีเหนือ และปากีสถานก็มีโครงการอวกาศประจำ การของตนอยู่

ที่มา: http://www.thairath.co.th/
Link: http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=43854

Monday, April 16, 2007

ฟุตบอลหุ่นยนต์

ฟีโบ้อวดโฉม 3 ยอดนักเตะชิงแชมป์ฟุตบอลหุ่นยนต์ที่เยอรมนี

มจธ.นำทัพหุ่นยนต์ไทยฟาดแข้งชิงแชมป์โลกกลางปีนี้ที่ประเทศเยอรมนี ขณะที่ปีที่แล้วครองตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 3 เผยปีนี้ปรับปรุงหุ่นยนต์ให้ทรงตัวดีขึ้น เคลื่อนไหวคล่องตัวสูงและทนต่อแรงกระแทก

ดร.ปาษาณ กุลวาณิช หัวหน้าทีมฟุตบอลหุ่นยนต์ สถาบันวิทยาการพัฒนาหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ฟีโบ้จะนำหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ 3 ตัว ร่วมการแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์ชิงแชมป์โลก ในเดือนกรกฎาคมนี้ ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยปีนี้ถือเป็นปีที่ 13 ของการแข่งขัน

การแข่งขันเมื่อปีที่ผ่านมา จัดที่ประเทศเยอรมนี ทีม มจธ. ครองตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 3 รองจากเยอรมนี ญี่ปุ่น และอเมริกา ฉะนั้น ในปีนี้ทีมงานตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งเดิมไว้ โดยมีประเทศเยอรมนี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นคู่แข่งสำคัญ

หุ่นยนต์ 3 ตัวที่จะลงสนาม ได้แก่ หุ่นยนต์จี๊ด หุ่นยนต์กาละแม และหุ่นยนต์พอดี ซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของทีม สำหรับสองตัวแรกสูง 45 ซม. น้ำหนัก 2.7 กก. เดินได้เร็ว 0.2 เมตรต่อวินาที มีประสบการณ์ในสนามแข่งมาแล้ว และครั้งนี้ทีมงานได้ปรับปรุงการเดินให้คล่องตัวยิ่งขึ้น อีกทั้งทนต่อแรงกระแทกได้ดีขึ้นด้วย

ด้านระบบการมองเห็นของหุ่นยนต์ อิงหลักของการหาค่าสีต่างๆ ในสภาพแวดล้อม เช่น การระบุล่วงหน้าว่าลูกบอลมีสีส้ม คู่ต่อสู้มีสีดำ ประตูฝ่ายตรงข้ามมีสีเหลืองหรือฟ้า เป็นต้น หุ่นยนต์จะถูกป้อนข้อมูลให้ตามหาลูกบอลเป้าหมายให้พบก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเดินเข้าหาลูกบอล และมองหาประตูของฝ่ายตรงข้าม เมื่อได้มุมและระยะเตะที่ต้องการ ก็จะเตะลูกบอลเข้าหาประตูต่อไป

“พฤติกรรมต่างๆ ของหุ่นยนต์นั้นถูกควบคุมผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถคิดคำนวณเองได้ว่า ถ้าไม่เห็นลูกบอลจะทำอย่างไร ถ้าคู่ต่อสู้ครองลูกบอลอยู่จะต้องทำอย่างไร และจะเตะอย่างไรให้เข้าประตู เป็นต้น” หัวหน้าทีมฟุตบอลหุ่นยนต์ของฟีโบ้ กล่าว

ส่วนหุ่นยนต์พอดี มีความสูง 50 ซม. น้ำหนัก 3.1 กก. ความเร็วในการเดิน 0.35 เมตรต่อวินาที ความเร็วในการมองหาวัตถุ 17 เฟรมต่อวินาที ความละเอียดของภาพ 80 x 143 พิกเซล มีความคล่องตัวสูงในการลุกยืน นั่งและเดิน อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมโพลิเมอร์ ซึ่งมีอายุใช้งานต่อเนื่อง 20 นาทีเพียงพอสำหรับการแข่งขันกำหนดเพียง 10 นาที

ทีมงานอยู่ระหว่างหุ่นยนต์พอดี ให้พร้อมสำหรับลงสนามแข่งประเภทความสามารถโดดเด่น ซึ่งต้องแข่งขัน 3 ชนิด คือ เลี้ยงลูกหลบเสา เดินผ่านผิวขรุขระและรับส่งลูกบอล ส่วนหุ่นยนต์กาละแมและหุ่นยนต์จี๊ด จะลงแข่งประเภทฟุตบอลหุ่นยนต์ ซึ่งใช้ทีมละ 2 ตัว และยึดกติกาของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า เป็นเกณฑ์ตัดสิน

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Saturday, April 14, 2007

กระดาษอิเล็กทรอนิกส์

ถึงเวลากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ขอแจ้งเกิด

คุยฟุ้งมานานโขแล้วว่า “กระดาษอิเล็กทรอนิกส์” คืออนาคตของหนังสือพิมพ์และหนังสือ แต่จนแล้วจนรอดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ยังคงคลานต้วมเตี้ยม ไม่แจ้งเกิดเสียที บริษัทลูกหม้อจากสถาบันเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐอาสาพัฒนาจอภาพพับได้ทำฝันให้เป็นจริง

บริษัท อี อิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นผลผลิตจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์แห่งสหรัฐอเมริกา มองเห็นโอกาสทำตลาดจอภาพที่สามารถพับหรือม้วนได้เหมือนกับกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือหนังสืออ่านทั่วไป ดังเห็นได้จากเวบไซต์หลายแห่ง ที่เปิดจำหน่ายหนังสือฉบับอิเล็กทรอนิกส์กันมากมาย

ปีที่แล้วมีบริษัทเก้ารายผลัดกันเปิดตัวเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จนบริษัทอี อิงค์ต้องเพิ่มยอดผลิตจออีบุ๊ค จากหนึ่งแสนจอเป็นหนึ่งล้านจอในเก้าเดือน

หนึ่งในนั้นคือบริษัทโซนี่ ที่เข็น "รีดเดอร์ แทบเล็ต" เป็นเครื่องจอขาวดำที่อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ได้แจ่มชัดกลางแสงแดดจ้าและในที่มืด มองได้เกือบทุกองศา ไม่ต่างกับกระดาษ เป็นจอภาพรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ใช้ไฟส่องสว่างจากด้านหลังที่กินไฟเหมือนกับจอทีเอฟที ที่ใช้กันทั่วไปตอนนี้ สามารถพับม้วนจอได้มากขึ้น และกินไฟน้อยลง
ถึงกระนั้น กระดาษอิเล็กทรอนิกส์ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ยังเป็นแค่จอขาวดำ และเล่นไฟล์วิดีโอไม่ได้ ทั้งที่เป็นจุดขายสำคัญที่ใช้ยั่วน้ำลายผู้บริโภค
โมโตโรล่า เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับ "โมโตโฟน" โทรศัพท์ราคาประหยัดสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ส่วนไซโก้ เอปสัน จำกัด นำมาใช้ทำจอนาฬิกาข้อมือ หน่วยความจำ และอุปกรณ์อีกมากมาย
อี อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ป้อนบริษัทไอทีเหล่านี้ ยังมีผลงานที่จดสิทธิบัตรนับร้อยฉบับที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี "หมึกดิจิทัล" ซึ่งส่งประจุไฟฟ้าผ่านไปบนกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดเป็นจุดขาวดำขนาดเล็กเคลื่อนที่ขึ้นลงทำให้เห็นเป็นตัวอักษรและภาพ
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Monday, April 9, 2007

จักษุแพทย์ตรวจตาผ่านเน็ต

จักษุแพทย์ตรวจตาผ่านเน็ตหวังรักษาทั่วถึงหมู่บ้านห่างไกล

เนคเทคอาสาโรงพยาบาลวัดไร่ขิงพัฒนาต้นแบบระบบตรวจวินิจฉัยโรคตาทางไกล ดัดแปลงเครื่องตรวจตาติดกล้องเวบแคมส่องตาผู้ป่วยจากสถานีอนามัยในชนบทส่งสัญญาณภาพผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาให้จักษุแพทย์วินิจฉัยเหมือนนั่งอยู่ตรงหน้า

วุฒิกร เชาว์ประมวลกุล ผู้ช่วยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุปกรณ์ตรวจตาทางไกลเครื่องต้นแบบ โดยใช้เวลาพัฒนาประมาณ 1 ปี อุปกรณ์ดังกล่าวจะเสริมประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคตาในพื้นที่ห่างไกลได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

"การขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล ซึ่งมักพบผู้ป่วยโรคต้อกระจกจำนวนมาก ทั้งยังขาดจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการตรวจวินิจฉัย ทำให้การดูแลรักษาโรคตาในพื้นที่ดังกล่าวไม่ทั่วถึง" ผู้ช่วยนักวิจัย กล่าว

เนคเทคได้รับแนวคิดในการพัฒนาเครื่องตรวจวินิจฉัยโรคตาทางไกลมาจากโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ หรือโรงพยาบาลวัดไร่ขิง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคตา โดยนักวิจัยได้พัฒนาความสามารถเครื่องตรวจตาวินิจฉัยโรคตาที่ใช้ตามโรงพยาบาลให้สามารถควบคุมการใช้งานระยะไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ช่วยให้จักษุแพทย์ส่วนกลาง ไม่ต้องเดินทางไปตรวจผู้ป่วยในพื้นที่จริง
การออกแบบอุปกรณ์ตรวจตาทางไกล ประกอบด้วย การปรับปรุงโครงสร้างเชิงกลของอุปกรณ์ตรวจตาเดิม โดยติดตั้งมอเตอร์ปรับตำแหน่งสำหรับควบคุมอุปกรณ์ให้อยู่ในทิศทางที่ต้องการ ตลอดจนพัฒนาส่วนเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน ทั้งในส่วนของโปรแกรมในการสื่อสาร และรับคำสั่งการทำงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต

"ในส่วนของโปรแกรมได้ออกแบบให้ใช้งานง่าย โดยเพิ่มส่วนจัดการข้อมูลภาพจากกล้องวิดีโอ ฟังก์ชันการถ่ายภาพประกอบการวินิจฉัยและวางแผน รวมทั้งติดตามผลการรักษาของจักษุแพทย์" ผู้ช่วยนักวิจัย กล่าว

ทีมวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องตรวจตาที่พัฒนาขึ้น โดยให้จักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลวัดไร่ขิงทดสอบผ่านระบบเครือข่ายภายใน (ระบบแลน) โดยใช้ตรวจรักษาอยู่คนละห้อง เพื่อจำลองสถานการณ์ใช้งานจิงพบว่า ระบบสามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้ แต่อาจต้องปรับให้อุปกรณ์สามารถปรับภาพได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นและลดระยะเวลาการตรวจให้เร็วขึ้น

"ปัจจุบันทีมงานกำลังพัฒนาอุปกรณ์ตรวจตารุ่นใหม่ คาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี จากนั้นจะทดสอบการควบคุมทางไกลในลักษณะเรียลไทม์ เพื่อดูประสิทธิภาพ และความล่าช้าที่มักเกิดขึ้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในช่วงที่มีการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก " ผู้ช่วยนักวิจัย กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, April 4, 2007

รางวัลเจ้าฟ้าไอที

คนไฮเทคส่งผลงาน ชิงรางวัลเจ้าฟ้าไอที

มูลนิธิวิจัยเทคโนโลยีสารสนเทศเชิญชวนบุคคลทั่วไปและนิสิต นักศึกษา ส่งผลงานด้านไอทีที่สร้างสรรค์ด้วยตัวเอง และสามารถใช้งานได้จริง ชิงรางวัลเจ้าฟ้าไอที สำหรับการแข่งขันครั้งที่ 3 ประจำปี 2550 และเงินรางวัลมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

การจัดการแข่งขัน "รางวัลเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา สารสนเทศ ครั้งที่ 3" มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย ให้ก้าวหน้าทัดเทียมระดับสากล สามารถนำมาพัฒนาในเชิงธุรกิจ ตลอดจนสร้างประโยชน์ต่อประเทศ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาบุคลากรสายไอทีอย่างกว้างขวาง

มูลนิธิจึงเชิญชวนผู้สนใจร่วมการแข่งขัน โดยส่งผลงานวิจัยเชิงทฤษฎี หรือผลงานเชิงประยุกต์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นเชิงธุรกิจ หรือพัฒนามาใช้จริงในเชิงปฏิบัติได้ และสร้างประโยชน์ต่อประเทศ มาให้กรรมการพิจารณา การประกวดจะแบ่งออกเป็นประเภทบุคคลทั่วไป นิติบุคคล และประเภทนิสิต นักศึกษา

โดยรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศประเภทบุคคล นิติบุคคลจะได้รับโล่พระราชทาน “รางวัลเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา สารสนเทศ” พร้อมเงินรางวัล 1,000,000 บาท และรางวัล ผู้ชนะเลิศประเภทนิสิต นักศึกษาจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณพร้อมเงินรางวัล100,000 บาท ทั้งนี้ การแข่งขันปีที่แล้ว ผู้ชนะเลิศประเภทบุคคล คือ บริษัท คอมพิวเตอร์ เทเลโฟนีย์ เอเชีย จำกัด จากผลงานการคิดค้นซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในเครือข่ายคอล เซ็นเตอร์

กำหนดการรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 กรกฎาคม 2550 โดยส่งมาที่มูลนิธิวิจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้น 24 โซนเอ สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่ 9 ถนนรัชดาภิเษก จตุจักร กทม. 10900 หรือสามารถสมัครผ่านเวบไซต์ www.itprincessaward.com

Axis Graphic Limited

Tuesday, April 3, 2007

ซอฟต์แวร์อัจฉริยะจำทะเบียนรถเอง

ซอฟต์แวร์อัจฉริยะจำทะเบียนรถเองได้ไม่ต้องใช้คน

ท่ามกลางโลกแห่งการสื่อสาร ซึ่งเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปไม่รู้จบ สอดคล้องกับวิถีที่ผู้คนต้องรีบเร่งและแข่งขันกับเวลา ปฏิเสธไม่ได้ที่ชีวิตของพวกเขาจะต้องเกี่ยวพันกับการเดินทางอยู่เสมอๆ ด้วย โดยจะดีไม่น้อยเลยหากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นนี้จะได้อำนวยความสะดวกสบายให้แก่การสัญจรไปมาของผู้คนด้วย

หนึ่งในนั้นคือ “โปรแกรมอ่านป้ายทะเบียนรถ” โดยนายเปรมนาถ ดูเบ จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ที่จะช่วยยกระดับ “เทคโนโลยีการจราจรอัจฉริยะ” ไปอีกขั้น

นายเปรมนาถ เล่าว่า ในปัจจุบันการตรวจสอบรถราที่เข้าออกในสถานที่ต่างๆ เช่น ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่สำคัญต่างๆ นั้น ยังขาดระบบจัดเก็บและสร้างฐานข้อมูลที่จะช่วยตรวจสอบรถที่เข้าออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ว่าเช่นนั้นก็เพราะยังขาดโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับความต้องการนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันที่ระบบการเก็บข้อมูลรถราที่เข้าออกสถานที่ เรายังสามารถเก็บได้เพียงภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด หรือภาพนิ่งจากกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเท่านั้น จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการใช้งานข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นนัก กล่าวคือจะไม่มีทั้งข้อมูลทะเบียนรถ และเวลาที่เข้าและออกจากสถานที่ซึ่งจะสามารถดึงออกมาใช้งานได้ทันที

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุรถหาย หรือต้องการติดตามรถที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เจ้าหน้าที่จึงต้องมาไล่ค้นหาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดหรือภาพนิ่งทีละภาพๆ ซึ่งกินเวลานานเกินไป แทนที่จะสืบค้นในฐานข้อมูลด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที

ทว่า สำหรับโปรแกรม “อ่านป้ายทะเบียนรถ” (License Plate Recognition System: LPR) ที่ได้พัฒนาขึ้น จะทำให้คอมพิวเตอร์ค้นหาตำแหน่งของป้ายทะเบียนรถได้เอง พร้อมทั้งมีระบบรู้จำที่ช่วยแปลงข้อมูลตัวอักษรจากภาพด้วยโปรแกรมโอซีอาร์มาเป็นตัวหนังสือที่สามารถจัดเก็บในฐานข้อมูลเพื่อง่ายแก่การสืบค้นได้ทันที โดยใช้เพียงอุปกรณ์ง่ายๆ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อพ่วงเข้ากับกล้องวงจรปิด พร้อมด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้ระบบสามารถจัดเก็บและสร้างฐานข้อมูลของรถที่เข้าและออกจากสถานที่ได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังอาจพ่วงระบบดังกล่าวเข้ากับระบบที่กั้นรถในที่จอดรถได้ด้วย ซึ่งแต่ละครั้งที่มีรถเข้าและออก คอมพิวเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล และควบคุมให้ที่กั้นรถเปิดให้รถผ่านเองได้โดยปลอดคนควบคุม ซึ่งเวลานี้ โปรแกรมดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการทำงานราว 95% สามารถรู้จำตัวอักษรภาษาไทย “ก -ฮ” และตัวเลขอารบิก “0 -9” ได้แล้ว

ขณะที่ประโยชน์การใช้สอยโปรแกรมดังกล่าว นายเปรมนาถ แจกแจงว่า โปรแกรมดังกล่าวสามารถนำไปปรับใช้ในงานควบคุมหลายด้านคือ ใช้ในการจัดการที่จอดรถอัตโนมัติ การบันทึกเวลาเข้าและออกเพื่อคำนวณค่าจอดรถโดยไม่เกิดการรั่วไหล และการจำแนกรถราที่เข้าออกอาคารว่าเป็นรถภายในหรือรถของบุคคลภายนอก

รวมถึงการรักษาความปลอดภัย การติดตามรถที่หายหรือรถที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และทำให้เกิดความประหยัดในการจัดการที่จอดรถ โดยจากความก้าวหน้านี่เอง นักวิจัยรายนี้ยังบอกด้วยว่า เขายังได้พัฒนาต่อไปให้โปรแกรมมีความอัจฉริยะมากขึ้น พร้อมๆ กับตอนนี้ได้มีห้างร้านเอกชนเข้ามาติดต่อทางเนคเทคเพื่อขอนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้แทนระบบการจัดการที่จอดรถแบบเก่าแล้วด้วย

สำหรับผู้สนใจความก้าวหน้าในระบบจราจรอัจฉริยะชิ้นนี้ สามารถเข้าชมด้วยตัวเองได้ในงาน "บางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28" ระหว่างวันที่ 30 มี.ค –8 เม.ย. ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

ที่มา: http://www.manager.co.th/
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000037872

Monday, April 2, 2007

โปรแกรม 3 มิติช่วยทันตแพทย์จัดฟัน

โปรแกรม 3 มิติช่วยทันตแพทย์จัดฟันจำลองภาพฟันเป็นระเบียบ เตรียมทดสอบก่อนใช้จริง

เดี๋ยวนี้คนฮิตจัดฟันกันมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คุณป้าหรือคุณพี่ ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูงจึงคิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยงานทันตแพทย์ สามารถรู้ได้ว่าหลังจัดฟันเสร็จแล้วจะออกมาสวยเช้งขนาดไหน

ดร.จันทร์จิรา สินทนะโยธิน หัวหน้างานฝ่ายวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง (แอดเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า กระบวนการจัดฟันในปัจจุบันมี 2 แบบ ได้แก่ การจัดด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งผู้รับการรักษาจะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าหลังจัดฟันเสร็จแล้วจะออกมาหน้าตาแบบไหน

"โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติ ช่วยให้ทันตแพทย์จำลองผลการรักษา และสามารถจัดสร้างอุปกรณ์ติดฟันสำหรับนำไปติดตั้งในตำแหน่งที่ต้องการจัดสะดวกยิ่งขึ้น และผู้จัดสามารถเห็นผลการรักษาได้ก่อนเริ่มจัดฟันจริงภายใน 30 นาที" นักวิจัย กล่าว

โปรแกรมทำงานโดยสร้างโมเดลจากโครงสร้างฟันที่ได้จากการสแกนด้วยเครื่องซีที ซึ่งเป็นเครื่องสแกนเฉพาะสำหรับทันตแพทย์ โปรแกรมจะทำการจำลองการจัดเรียงฟันขึ้นใหม่ พร้อมกับทำการทดลองติดตั้งอุปกรณ์จัดเรียงฟันหรือเหล็กจัดฟันชนิดติดแน่น (Brackets) ให้อยู่ในระนาบที่ต้องการ

หลังจากนั้น โปรแกรมจะจำลองภาพให้เห็นว่าฟันที่จัดแล้วจะออกมาสวยงามอย่างไร หรือรากฟันจะเรียงตัวอย่างไร รวมถึงโอกาสที่ฟันจะชนหรือเบียดกันก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการจัดฟันของจริง

"การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เน้นด้านเทคนิคต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการออกแบบจัดฟันเบื้องต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงการจำลองติดอุปกรณ์จากโมเดลฟันทั้งด้านบนและล่างของผู้ป่วยจริง ส่วนการวิจัยใน 2 ปีที่เหลือหลังจากนี้ จะเป็นการศึกษาต่อในขั้นของการสบฟัน ขณะเคี้ยวอาหารของฟันด้านบนและด้านล่าง และประสานงานกับทีมทันตแพทย์จัดฟันในการทำการทดสอบเชิงคลินิกต่อไปกับผู้ป่วยประมาณ 40-50 ราย ก่อนนำไปเผยแพร่โปรแกรมต่อทันตแพทย์จัดฟัน ทั้งส่วนภาครัฐและเอกชนให้มีการนำไปใช้จริง" นักวิจัย กล่าว

นอกจากการพัฒนาโปรแกรมการออกแบบจัดฟันแล้ว ศูนย์เทคโนโลยี ทางทันตกรรมขั้นสูง หรือ แอดเทค ยังมีบริการฝังรากฟันเทียม และผ่าตัดกรามฟันให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหากรามฟันผิดปกติอีกด้วยในราคาที่ถูกกว่าภาคเอกชนจากทีมทันตแพทย์ที่ประจำและจากหน่วยงานอื่น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ซอฟต์แวร์จัดฟัน 3 มิติ

ซอฟต์แวร์จัดฟัน 3 มิติตรวจรูปแบบฟันก่อนลงมือ

ศูนย์ทันตกรรมขั้นสูง โชว์ซอฟต์แวร์ออกแบบจัดฟันภายในเวลาเพียง 30 นาที ก่อนนำไปเผยแพร่สู่ทันตแพทย์รัฐ และเอกชน เพื่อช่วยจำลองผลการรักษา และจัดวางอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ

ดร.จันทร์จิรา สินทนะโยธิน หัวหน้างานฝ่ายวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง (Adtec) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า กระบวนการจัดฟันในปัจจุบันมี 2 แบบ ได้แก่ การจัดด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งขั้นตอนการจัดฟันตั้งแต่เริ่มจนเสร็จผู้ป่วยไม่สามารถรู้ได้ว่าผล จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการจัดฟัน

"โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติ ช่วยให้ทันตแพทย์จำลองผลการรักษาในแบบ 3 มิติ และสามารถจัดสร้างอุปกรณ์ติดฟันสำหรับนำไปติดตั้งในตำแหน่งที่ต้องการจัดสะดวกยิ่งขึ้น และผู้จัดสามารถเห็นผลการรักษาได้ก่อนที่จะมีการจัดจริงภายใน 30 นาที" นักวิจัยกล่าว

โปรแกรมทำงานโดยสร้างโมเดลจากโครงสร้างฟันที่ได้จากการสแกนด้วยเครื่องซีที ซึ่งเป็นเครื่องสแกนเฉพาะสำหรับทันตแพทย์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติ (Aling Bracket 3D) ก่อนจำลองการจัดเรียงฟันขึ้นใหม่จากโปรแกรม พร้อมกับทำการทดลองติดตั้งอุปกรณ์จัดเรียงฟันหรือเหล็กจัดฟันชนิดติดแน่น (Brackets) ให้อยู่ในระนาบที่ต้องการ
หลังจากนั้น โปรแกรมจะจำลองภาพหลังจากจะออกมาสวยงามอย่างไร หรือรากฟันจะเรียงตัวยังไง รวมถึงโอกาสที่ฟันจะชนหรือเบียดกันก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการจัดฟันของจริง

นักวิจัยยังแบ่งประเภทกรามฟันผู้ป่วยออกเป็น 5 ประเภทสำหรับเป็นมาตรฐานในการทำแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ อาทิเช่น กรามฟันอ้วน กรามฟันผอม กรามฟันเหลี่ยม กรามฟันรี และกรามฟันปกติ เพื่อให้สะดวกแก่การนำมาใช้วางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติ ซึ่งต้องเลือกแบ็คเก็ตให้เหมาะกับตำแหน่งฟันด้วย เพราะว่าแบ็คเก็ตมีหลายชนิด เช่น ใช้ติดฟันเขี้ยว ติดฟันหน้า ติดฟันกราม ซึ่งก็จะมีความต่างกันออกไปอีกระหว่างการจัดจากด้านหน้าฟัน และการจัดจากด้านหลังฟัน เพราะว่าผิวฟันไม่เหมือนกัน

"การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนการจัดฟันแบบ 3 มิติในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เน้นด้านเทคนิคต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการออกแบบจัดฟันเบื้องต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงการจำลองติดอุปกรณ์จากโมเดลฟันทั้งด้านบน และล่างของผู้ป่วยจริง

ส่วนการวิจัยใน 2 ปีที่เหลือหลังจากนี้ จะเป็นการศึกษาต่อในขั้นของการสบฟัน ขณะเคี้ยวอาหารของฟันด้านบนและด้านล่าง และประสานงานกับทีมทันตแพทย์จัดฟันในการทำการทดสอบเชิงคลินิกต่อไปกับผู้ป่วยประมาณ 40-50 รายก่อนนำไปเผยแพร่โปรแกรมต่อทันตแพทย์จัดฟัน ทั้งส่วนภาครัฐและเอกชนให้มีการนำไปใช้จริง" นักวิจัยกล่าว

นอกจากการพัฒนาโปรแกรมการออกแบบจัดฟันแล้ว ศูนย์ฯ ยังมีบริการฝังรากฟันเทียม และผ่าตัดกรามฟันให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหากรามฟันผิดปกติอีกด้วยในราคาที่ถูกกว่าภาคเอกชนจากทีมทันตแพทย์ที่ประจำและจากหน่วยงานอื่น

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/
Link: http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/02/WW54_5401_news.php?newsid=62448

Sunday, April 1, 2007

เวบเสียงรายงานจราจร

เวบเสียงรายงานจราจรใช้โปรแกรมรับโทรศัพท์แทนพนักงาน

เนคเทคเตรียมทำเวบไซต์รายงานผลจราจร ประยุกต์ใช้โปรแกรมอ่านตัวอักษรเป็นเสียง อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ โดยโทรเข้ามาฟังรายงานเส้นทางขับขี่ หวังช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดช่วงสงกรานต์

น.ส.ปวีณา ทองแม้น ผู้ช่วยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า เนคเทคร่วมกับ สวพ.91 และกรมตำรวจทางหลวง จัดทำโครงการและเวบไซต์รายงานสภาพการจราจร และอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์

เวบไซต์รายงานการจราจรแห่งใหม่ที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษครั้งนี้ ได้นำเทคโนโลยีแปลงตัวหนังสือ ที่ปรากฏบนหน้าเวบให้เป็นเสียงพูด เทคโนโลยีดังกล่าวเรียกว่า "เน็ตทอล์ค" พัฒนาโดยนักวิจัยศูนย์เนคเทค สำหรับช่วยรายงานข้อมูลแทนพนักงานรับโทรศัพท์

ส่วนวิธีใช้งาน เพียงผู้ขับขี่โทรศัพท์มายังหมายเลขที่กำหนด ระบบคอมพิวเตอร์จะให้เลือกบริการที่ต้องการ เช่น การรายงานสภาพการจราจร แล้วเลือกจุดหรือถนนสายที่ต้องการทราบข้อมูล โดยเน็ตทอล์คจะรับหน้าที่อ่านรายงานจราจรให้ฟัง

“ข้อมูลจราจรบนเวบไซต์มาจากการรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสามารถรายงานสภาพการจราจรและอุบัติเหตุผ่านคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ที่ป้อมตำรวจ หรือสถานีตำรวจ ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ข้อมูลจึงครอบคลุมมากที่สุด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร” ผู้ช่วยนักวิจัย กล่าว

นายอนุวัตร สมบุญ ผู้ช่วยนักวิจัยเนคเทค กล่าวเสริมว่า โปรแกรมดังกล่าวได้ทดลองใช้นำเสนอข่าวสารประจำวันผ่านโทรศัพท์ โดยดึงข้อมูลข่าวมาจากเวบไซต์ข่าว www.rssthai.com โดยการรายงานผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์บ้าน รองรับคู่สายทั้งสิ้น 30 คู่สายในปัจจุบัน

เนคเทคยังได้พัฒนาโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ โดยติดตั้งกล้องวงจรปิดตามแยกต่างๆ เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นของการจราจรในบริเวณที่ต้องการ เพื่อประเมินปริมาณรถในแต่ละช่วงเวลา พร้อมทั้งความเร็วขณะรถวิ่งด้วย ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะนำร่องติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณถนนวิภาวดีขาออก สถานีขนส่งจังหวัดนครราชสีมา พร้อมทั้งจุดอื่นที่ต้องการตรวจสอบด้วย

เนคเทคยังเตรียมนำเสนอเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบการจราจร ในการสัมมนาเรื่องระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ในงานมอเตอร์โชว์ ณ ศูนย์การประชุมและนิทรรศการไบเทค บางนา ในวันที่ 2 เมษายนนี้ พร้อมทั้งนำเสนอนิทรรศการผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก