Sunday, December 31, 2006

มีงานก่อนเรียนจบ

มีงานก่อนเรียนจบ

ตอนนี้มีโครงการประกวดต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะโครงการที่จัดขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาได้แสดงความสามารถ สร้างเสริมประสบการณ์ให้กับนักศึกษา และทำให้นักศึกษามีงานทำ อย่างเช่น โครงการ My Portfolio Contest ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการประกวดกราฟิก และแอนิเมชั่น กับความคิดหลัก “การประกวดที่ทำให้นักศึกษามีงานก่อนเรียนจบ”

โครงการนี้เป็นความร่วมมือของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT) สำนักส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) และนิตยสารเมนู คอมพิวเตอร์ ไอเดีย เพื่อขานรับความต้องการบุคลากรด้านนี้ เนื่องจากบุคลากรในอุตสาหกรรมด้านบันเทิง กราฟิกและแอนนิเมชั่น กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก

และกับโรงการนี้ใน 2 ปีที่ผ่านมา ก็ได้มีส่วนช่วยประสานความต้องการระหว่างบริษัทที่ต้องการบุคลากรไปทำงานกับนักศึกษาที่ต้องการหางานทำหลังจบการศึกษา เนื่องจากนักศึกษาในโครงการประกวดที่จบการศึกษาไปแล้วที่มีผลงานประกวดในระดับต้นๆ ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จในการเลือกบริษัทเพื่อทำงาน และมีผลงานออกตามสื่อต่างๆ อย่างมากมาย

การประกวดปีนี้มีหัวข้อในการประกวดว่า Thai Fantasy : แอนนิเมชันไทย ตระการตาสู่แอนิเมชันโลก เพื่อเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย โดยผู้ชนะเลิศในโครงการที่ 3 นี้ จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยนำผลงานชนเลิศไปประกวดในเวทีต่างประเทศระดับโลกกับซิกกราฟ Siggraph Award ซึ่งเป็นการประกวดด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกและอินเทอร์แอคทีฟมีเดียระดับโลก ที่สหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคม 2550 ต่อไป โดยจะได้รับการสนับสนุนจาก แบงค็อก เอซีเอ็ม ซิกกราฟ ซึ่งเป็นหน่วยงานกราฟประจำประเทศไทย ในการประสานงานการประกวด

ชัยชาญ อาจวิชัย นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาควิชา คอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บมจ.) ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศ และได้เป็นตัวแทนเข้าไปแข่งขันที่มีชื่อว่า A Wonderland ซึ่งใช้เทคนิค 3D Animation

ชัยชาญ หรือน้องติน พูดถึงที่มาของผลงาน “ผมรู้ข่าวความเคลื่อนไหวการรับสมัครจากนิตยสารเมนูคอมพิวเตอร์ไอเดีย และเห็นว่าตัวโรงการน่าสนใจและส่งเสริมให้นักศึกษาได้เป็นที่รู้จักในวงการคอมพิวเตอร์กราฟิก และเพิ่มโอกาสในกรได้งานทำด้านอุตสาหกรรมกราฟิกในประเทศไทย จึงสนใจเข้ามาสมัคร สิ่งที่ผมนำเสนอนั้นเรียกว่า Shot Animation มีความยาว 1 นาที โดยมีคอนเซปต์หลักๆ คือ Thai Fantasy ซึ่งนำมาขยายต่อว่า จะนำเสนอความเป็นไทยอย่างไรให้ดูโดดเด่นที่สุด จึงเป็นที่มาของ A Wonderland หรือดินแดนมหัศจรรย์ ที่มีความประทับใจให้กับผู้ที่ได้มาพบ และสัมผัส โดยเปรียบเมืองไทยเป็น A Wonderland ดินแดนที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางศิลปะ และวัฒนธรรมของประเทศไทย โดยผมจะนำตัวละครที่เป็นเด็กชาวต่างชาติ 2 คน ที่บังเอิญได้เดินทางมาพบกับความมหัศจรรย์ของ Wonderland และดึงความพิเศษของรถตุ๊กตุ๊ก ยักษ์ สถาปัตยกรรมไทย หนุมาน มาแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย โดยเน้นการนำเทคนิค 3D-Animation มาช่วยถ่ายทอดความสวยงามของสถาปัตยกรม

การเตรียมตัวไปแข่งขันต่อในงาน Siggraph 2007 ผมก็จะต้องปรับปรุงแก้ไขงานให้ดูสมจริงมากกว่านี้ รวมทั้งเรื่องรายละเอียดการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น การจัดแสดง การจัดฉากที่ต้องปรับปรุง เพราะเกณฑ์การตัดสินมีมาตรฐานสูง แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ”

....นี่คืออีกหนึ่งความสามารถของเด็กไทยที่ควรให้การสนับสนุน และสานต่อความฝันของเขาต่อไป เพราะในอนาคตอันใกล้นี้จะได้มีมือคอมพิวเตอร์กราฟิกเก่งๆ มาสร้างสรรค์งานดีๆ ให้เราได้ชมกันต่อไป....

ที่มา: หนังสือพิมพ์ โพสต์ TODAY

Friday, December 29, 2006

แผ่นดินไหวสะเทือน ‘เน็ต’

แผ่นดินไหว ‘ไต้หวัน’ สะเทือน ‘เน็ต’ ทั่วเอเชีย

เหตุการณ์ธรณีพิโรธ 6.7 ริกเตอร์ บริเวณชายฝั่งตอนใต้ของไต้หวันเมื่อวันอังคารที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจด้าน “เสถียรภาพ” ของระบบสื่อสารใน “เอเชีย” เมื่อเครือข่ายสื่อสารของแทบทุกประเทศในแถบนี้เป็น “อัมพาต” โดยเฉพาะในเส้นทางที่เชื่อมไปยังภูมิภาคอเมริกาเหนือ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เอเชีย รายงานวานนี้ (28 ธ.ค. ) ว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายแก่สายเคเบิลใยแก้วใต้ทะเลหลายสายที่ใช้ในการส่งผ่านข้อมูลเชื่อมต่อจากฮ่องกงและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังญี่ปุ่นและภูมิภาคอเมริกาเหนือ ทั้งยังสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบโทรคมนาคมโลก ที่ยังพึ่งพาสายเคเบิลซึ่งเสียงต่อการเกิดความเสียหายได้ง่าย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศใช้การไม่ได้หรือถูกจำกัดในบางส่วนการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็เชื่องช้าในหลายพื้นที่ของจีน ขณะที่การซื้อขายหุ้นก็ได้รับผลกระทบเพราะเทรดเดอร์ไม่สามารถติดต่อกับศูนย์ข้อมูลของแบล็คเบอร์รีส์ และบลูมเบิร์ก ซึ่งป้อนข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นได้ แต่ปรากฏว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นโตเกียวและฮ่องกงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

“เอเชีย” พื้นที่อ่อนไหวมากที่สุด
ทั้งนี้การโอนถ่ายข้อมูลเกือบทั้งหมดระหว่างภูมิภาคทั่วโลก จะส่งผ่านสายเคเบิลใยแก้วซึ่งบริษัทหลายแห่งได้วางท่อเหล่านี้ข้ามมหาสมุทรเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร โดยวางไว้ใต้ทะเลหรือลอยน้ำไว้เหนือน้ำ

รายงานข่าวระบุว่า ระบบสื่อสารในเอเชียยังมีความเสี่ยงมาก เพราะเป็นจุดที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยสุด นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวยังมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนด้านโทรคมนาคมที่ชะลอตัวในช่วงไม่กี่ปีนี้เนื่องจากบริษัทหลายแห่งมีผลประกอบการไม่ตรงตามที่ตั้งไว้ หลังลงทุนด้านเคเบิลใยแก้วอย่างมหาศาลในช่วงที่ธุรกิจโทรคมนาคมเฟื่องฟูช่วงทศวรรษ 90

กสท ช็อกระบบสำรองล่มด้วย
นายพิศาล จอโภชาอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า โครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำทั้งโครงข่ายหลักและสำรองของ กสท ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ทำให้โทรศัพท์ระหว่างประเทศและการใช้งานอินเตอร์เน็ตมีปัญหาขัดข้อง

โดยโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำของ กสท ได้รับความเสียหายรวม 4 เส้นทาง คือ
1. เอพีซีเอ็น (Asia pacific Cable Network) เชื่อมระหว่างประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี และญี่ปุ่น
2. ซีทูซี (C2C) เชื่อมระหว่างประเทศสิงโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
3. แฟล็ก (FLAG : Fibre Optic Link Around the Globe) เชื่อมโยงระหว่างประเทศอังกฤษ สเปน อิตาลี อียิปต์ สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย มาเลเซีย ไทย ฮ่องกง เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
4. SEA-ME-WE-3 เชื่อมโยงระหว่างมากกว่า 32 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันตก

“เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ถือว่ารุนแรงเพราะทำให้เครือข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำทั้งระบบหลักและสำรองขัดข้องพร้อมๆ กัน ทำให้ระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภูมิภาคเอเชียมีปัญหา” นายพิศาลกล่าว

ทั้งนี้ กสท มีโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ 9 เส้นทาง ได้รับความเสียหาย 6 เส้นทาง ซึ่งได้แก้ไขปัญหาให้ใช้งานได้ตามปกติแล้ว 2 เส้นทาง และคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ระบบการสื่อสารจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ

จี้ กทช. ทบทวนไลเซ่น
นายตฤณ ตัณฑเศรษฐี กรรมการผู้จัดการ บมจ. อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวในไต้หวัน ถือว่าสร้างความเสียหายการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก เนื่องจากไต้หวันเป็นจุดต่อเชื่อมใหญ่ในเอเชียเหนือ ซึ่งวงจรไฟเบอร์ออปติกที่มาจากตะวันออกกลาง อินเดีย และสิงคโปร์ จะผ่านไปที่ฮ่องกง จีน และเกาหลี

เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 7 ปีก่อน ที่ต้องใช้เวลาซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นถึง 1 เดือน เนื่องจากเป็นสายที่อยู่ใต้น้ำต้องให้เรือเดินทางมาซ่อมและเรือที่จะซ่อมได้อาจไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เกิดความเสียหาย

กระนั้น เหตุลักษณะเดียวกันไม่ควรเกิดซ้ำ หากไทยมีการกระจายความเสี่ยงในการเชื่อมต่อเชื่อม ที่จะออกไปยังออสเตรเลียหรือฟิลิปปินส์แต่ด้วยสถานการณ์ที่ลำบากในปัจจุบัน ซึ่งต้นทุนยังสูงอยู่

ขณะที่ราคาขายต่ำ ก็ยากที่จะผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่ และทาง กสท ก็เป็นเพียงรายเดียวที่รับผิดชอบการต่อเชื่อมไปต่างประเทศ

อีกทั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จำเป็ที่ต้องทบทวนการออกไลเซ่นการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดให้ต้องขอรับใบอนุญาตแบบที่ 2 และ 3 ที่ต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีโครงข่าย ทั้งที่น่าจะเป็นแบบที่ 1 เพื่อกระตุ้นให้เกิดผู้ให้บริการรายใหม่และดูสภาพความเป็นจริงของธุรกิจมากกว่าการมองในเชิงเศรษฐศาสตร์

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ท็อปเท็นข่าววิทย์ปี 49

'ภาวะโลกร้อน'ท็อปเท็นข่าววิทย์ปี 49

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดอันดับ 10 ข่าวดังปี 49 ยกให้ข่าวภาวะโลกร้อน-ปรากฏการณ์ลานีญา เป็นข่าวอันดับ 1 ที่ได้รับความสนใจจากสังคมมากสุด

ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และ รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกันแถลงข่าวการจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2549 ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับชมรมนักเขียนผู้จัดทำหนังสือวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต จัดอันดับ

ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดอันดับ 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน 14 ปีมาแล้ว เพื่อสร้างกระแสความนิยมและส่งเสริมความสนใจข่าวสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหมู่เยาวชนและสังคมไทย

ผลจากประชามติ ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์อันดับ 1 คือ ข่าวภาวะโลกร้อน-ปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น น้ำท่วมที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พบปะการังสีทองในทะเล และอากาศที่เปลี่ยนแปลงในประเทศที่เคยหนาวกลับไม่หนาว แต่ประเทศไทยอย่างกรุงเทพฯ กลับหนาวเย็นมากขึ้น

อันดับ 2 คือ ข่าว "10 เทคโนโลยีอุบัติใหม่" นำความก้าวหน้าสู่สังคม
อันดับ 3 ข่าวไบโอเทค/สวทช.-ศิริราช ผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันโรคไข้หวัดนกในคนได้สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ
อันดับ 4 ข่าวการใช้นิติวิทยาศาสตร์ โดยแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจหาพยานหลักฐานคดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม
อันดับ 5 ข่าว สวทช. สร้างกระแสกระตุ้นเยาวชนเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ด้วยรายการ Mega Clever ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี
อันดับ 6 ข่าววิกฤตการณ์นิวเคลียร์ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันสำหรับทั่วโลก เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่จะนำมาเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก และกรณีปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ/อิหร่าน และผลทดสอบการทุจริตโครงการนิวเคลียร์ของสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ
อันดับ 7 ข่าวนักวิจัยไทยกับผู้เชี่ยวชาญเยอรมนีสำรวจทะเลไทย พบโคลนภูเขาไฟใต้ทะเลห่างจากภูเก็ต 200 กิโลเมตร
อันดับ 8 ข่าวเสื้อซิลเวอร์นาโน ฉลองครองราชย์ 60 ปี ภายใต้แบรนด์ I-TEX
อันดับ 9 ข่าวเจลลดไข้ ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์จากต่างดาว
และอันดับ 10 ข่าวสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ลงมติตัดดาว "พลูโต" ออกจากการเป็นดาวเคราะห์ตามนิยามใหม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Thursday, December 28, 2006

ยุโรปจ่อทดสอบจำลองกำเนิดจักรวาล

ยุโรปจ่อทดสอบจำลองกำเนิดจักรวาล

ยุโรปจ่อทดสอบจำลองกำเนิดจักรวาลจับสสารชนกันด้วยความเร็วสูงค้นหาสสารปฐมกาล
นักวิทยาศาสตร์กว่า 2,000 คนทั่วโลกเตรียมพร้อมทดสอบวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญโดยมีเป้าหมายที่จะค้นหาอนุภาคใหม่เพื่อตามหาหลุมดำขนาดเล็ก และไขความลับอันยิ่งใหญ่ของจักรวาลให้กระจ่างขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มวลมาจากไหน จักรวาลมีกี่มิติ และสสารมืดประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง

โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า "คอมแพค มิวออน โซลีนอยด์" หรือ ซีเอ็มเอส ซึ่งนำทีมโดย ศ.เทจิน เดอร์ เวอร์ดี จากคณะฟิสิกส์ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน มีเป้าหมายเพื่อค้นหาอนุภาคใหม่โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคยิงอะตอมสองตัวชน โดยคาดว่าจะได้อนุภาคใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อนุภาคเหล่านี้เป็นมูลฐานของสสารมีขนาดเล็กกว่าอะตอม

นักวิทยาศาสตร์หวังว่า ผลจากการทดลองอาจช่วยให้พวกเขาสามารถอุดช่องว่างของทฤษฎีสนามรวม (unified theory) เพื่อนำไปอธิบายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ได้ครบทุกเรื่อง ปัจจุบัน ทฤษฎีดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่นักวิทยาศาสตร์
ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเข้าร่วมโครงการทดลองซีเอ็มเอสนับพันคนโดยใช้เวลาออกแบบและก่อสร้างเครื่องตรวจับอนุภาคนานถึง 15 ปี เครื่องตรวจจับอนุภาคดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่ใต้ดิน 100 เมตรใต้เมืองเชสซีของฝรั่งเศสใกล้กับพรมแดนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โครงการซีเอ็มเอสเป็นเพียงหนึ่งในหกเครื่องตรวจจับอนุภาคซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลขององค์การทดลองนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือ เซิร์น (CERN)

"เมื่ออนุภาควิ่งมาชนกันในเครื่องตรวจจับซีเอ็มเอสทำให้เกิดสภาวะที่สร้างพลังงานมหาศาล คล้ายๆ กับเมื่อครั้งที่จักรวาลเริ่มก่อกำเนิดหลังบิกแบง การชนกันของอนุภาคจะส่งผลให้เกิดอนุภาคใหม่ที่เคยมีอยู่ในสมัยแรกที่เกิดจักรวาล อนุภาคใหม่นี้จะลอยไปทั่วทุกทิศทาง จากนั้นเครื่องตรวจจับอนุภาคที่แบ่งหลายชั้นจะวัดคุณสมบัติของอนุภาคเหล่านี้ และคอยติดตามเส้นทางและวัดพลังงานของอนุภาคใหม่" หัวหน้าโครงการอธิบายและเสริมว่า แม่เหล็กกำลังสูงที่อยู่ในเครื่องตรวจจับอนุภาคจะเบี่ยงเส้นทางของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถระบุชนิดต่างๆ ของอนุภาคที่เกิดจากการชนกันได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มหันตภัยธรรมชาติ

มหันตภัยธรรมชาติ

1. สึนามิรอบ 2 – ฝันร้ายยังคงหลอกหลอน
นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นต้นมา ทั่วโลกต่างตื่นตัวเรื่องการรับมือกับมหันตภัยรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ โดยร่วมแรงร่วมใจกันคิดหาทางป้องกัน หรืออย่างน้อยก็ส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด แต่แล้วบททดสอบรั้งสำคัญก็มาถึงเร็วกว่าที่ใครคาดคิด เมื่อแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ในร่องทะเลลึกทางตอนใต้ของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ซึ่งแม้จะสูงเพียงแค่ 2 เมตร สาดซัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กวาดโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร และบ้านเรือนหลาบหลัง บริเวณชายฝั่งทะเลพังราบเป็นหน้ากอง ไม่นับรวมชีวิตชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอีกกว่า 600 คน ที่ต้อง
สูญสิ้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากเช่นนี้ทั้งๆ ที่มีการแจ้งเตือนจากศูนย์เตือนภัยสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิก และกรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นว่า อาจจะเกิดคลื่นยักษ์ภายใน 45 นาที มากจากความประมาทเลินเล่อของรัฐบาล ที่แม้จะได้รับคำเตือน แต่กลับเพิกเฉยโดยอ้างว่าไม่ต้องการสร้างความตื่นตระหนกโดยจำเป็น จึงทำให้ต้องสังเวยชีวิตทั้งที่ป้องกันได้อีกหลายร้อนคน

2. แผ่นดินไหว : มัจจุราชตัวจริง
เกือบตลอดทั้งปีนี้ ได้เกิดธรณีพิโรธเป็นประจำแถบหมู่เกาะอินเดีย แต่รั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันที่ 27 พฤษภาคม เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.2 ริกเตอร์ ใต้ทะเลลึก นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง
ยอคยาการ์ตาบนเกาะชวา แม้จะไม่เพียงพอทำให้เกิดคลื่นสึนามิ แต่ความรุนแรงก็ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายพังทลายราบคาบ ฝังร่างชาวบ้านที่กำลังนอนหลับให้จากโลกนี้ไปไม่รู้ตัวเกือบ 6,000 คน ขณะที่โรงพยาบาลก็ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถเยียวยารักษาผู้รอดชีวิตหลายหมื่นคนอย่างเต็มความสามารถได้

นอกเหนือจากความสูญเสียชีวิตแล้ว เหตุธรณีพิโรธครั้งนี้ยังสร้างความเสียหายร้ายแรงทิ้งไว้เหมือนเช่นแผลเป็น ทั้งบ้านเรือนเสียหาย สาธารณูปโภคน้ำประปา-ไฟฟ้าขาดแคลน ถนนหนทางถล่ม จนต้องใช้เวลาหลายปีฟื้นฟูเยียวยาให้กลับมาเป็นเช่นเดิม

3. ภูเขาไฟระเบิด : แสนยานุภาพของธรรมชาติ
ปีนี้ถือเป็นปีที่ภูเขาไฟทั่วโลกคุกรุ่นมากที่สุดปีหนึ่ง ทั้งเกิดปะทุ พ่นก๊าซ ตลอดจนพ่นลาวาออกมา เช่น ภูเขาไฟมายอน ในฟิลิปปินส์ ลูเขาไฟตุนกูราฮัว ในเอกวาดอร์ภูเขาไฟกาเลราส ในโคลัมเบีย ตลอดจนภูเขาไฟในอินโดนีเซีย ซึ่งการปะทุเช่นนี้ก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกหรือแผ่นดินไหวมากขึ้นตามไปด้วย ดังเช่นสาเหตุของธรณีพิโรธที่เมืองยอคยาการ์ตา ที่เกิดจากการที่ภูเขาไฟเมราปีคุกรุ่นและเกิดระเบิดขึ้นเช่นกัน

4. โลกร้อน : มหันตภัยที่เริ่มอาละวาด
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกแสดงความวิตกมานานแล้วว่า สภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้เชี่ยวชาญระบุตรงกันว่า “มนุษย์” เองที่เป็นต้นเหตุสำคัญทำให้เกิดมลภาวะ อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในรอบ 400 ปี อีกทั้งเป็นไปได้ที่จะสูงถึงขั้นในรอบ 1,000 ปี โดยช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แค่อุณหภูมิทางตอนเหนือของโลกสูงขึ้นเพียง 1 องศาฟาเรนไฮต์ (-17 องศาเซลเซียส) อาจส่งผลให้พายุเฮอร์ริเคนเปลี่ยนรูปแบบและทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ซึ่งหากปล่อยต่อไปโดยไม่มีการหยุดยั้งป้องกันอาจถึงขั้นสิ่งมีชีวิตล้มตายสูญพันธุ์ไปจากโลก

1. อากาศวิปริตปั่นป่วน
ปีนี้เป็นปีที่สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงลุกลามทั่วโลก ไม่ว่าสหรัฐและยุโรปที่เผชิญกับพายุฤดูหนาวสุดขั้ว กับคลื่นความร้อนสุดขีด หิมะไม่ตกตามฤดูกาล ส่วนเอเชียก็เผชิญกับพายุไต้ฝุ่นลูกแล้วลูกเล่าที่ก่อตัวพัดถล่มไม่เว้นแต่ละเดือน ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ที่โดนหนักกว่าใคร ทั้งโคลนถล่ม น้ำท่วม หลังโดนพายุดาหน้าถล่ม 4 ลูกในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน คร่าชีวิตประชาชนรวมกันหลายพันคน อพยพหนีตายอีกหลายแสนคน ไม่นับรวมแถบเอเชียให้ที่ถูกน้ำท่วมแทบจะทั้งปี ขณะที่มาเลเซียก็เผชิญกับเหตุน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี

นอกเหนือจากพายุจะรุนแรงขึ้นแล้ว ยังเกิดสภาพอากาศแปลกประหลาดแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ หลังเกิดลมกำลังแรงเทียบเท่าเฮอร์ริเคนนอกชายฝั่งของนิวซีแลนด์ ส่งผลให้เกิดคลื่นสูงและรุนแรงคล้ายคลื่นสึนามิซัดโถมชายฝั่งในหลายประเทศในทวีปอเมริกาคิดเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ตั้งแต่เปรูไปจนถึงแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ

2. ทะเลทรายขยายตัว
การเกิดสภาวะโลกร้อนยิ่งเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดการขยายตัวของทะเลทรายอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัญหานี้จะส่งผละกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน 1,200 ล้านคน ใน 110 ประเทศ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าภายใน 50 ปีข้างหน้าจะมีผู้ลี้ภัยจากสิ่งแวดล้อมหลายสิบคน ทั้งจากปัญหาภัยแล้ง อพยพทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเนื่องจากไม่มีที่ดินเพาะปลูกทำกิน

3. น้ำแข็งขั้วโลกละลาย : น้ำท่วมโลก
การที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อน้ำแข็งที่ก่อตัวบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้ น้ำแข็งเหล่านี้ได้ก่อตัวน้อยลงในฤดูหนาวและละลายเร็วขึ้นในฤดูร้อน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิต ทั้ง หมีโพลาในขั้วโลกเหนือ เพนกวินพันธุ์ต่างๆ ในขั้วโลกใต้ เริ่มลดจำนวนลงจากความยากลำบากในการหาอาหารและมลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่น้ำแข็งบนยอดเขาสูงชิงไห่-ทิเบต ซึ่งมีธารน้ำแข็งมากถึงร้อยละ 47 ของธารน้ำแข็งทั้งประเทศ กลับละลายถึงร้อยละ 7 ซึ่งหากธารน้ำแข็งละลายพื้นที่บริเวณจะเกิดภาวะแห้งแล้ง ภูมิประเทศกลายสภาพเป็นทะเลทราย ส่วนน้ำทะเลก็เกิด “เดธโซน” หรือ “เขตมรณะ” ขึ้น อันจะทำให้น้ำทะเลขาดออกซิเจน ทำให้สิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นตายลง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หมีขั้วโลก ฮิปโปโปเตมัส และปลาน้ำจืด ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งสัตว์ชนิดต่างๆ นก ปลาและต้นไม้มากกว่า 1.6 หมื่นชนิด ต่างตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์จากน้ำมือมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Wednesday, December 27, 2006

รถเมล์พลังอาทิตย์คันแรกในไทย

รถเมล์พลังอาทิตย์คันแรกในไทย

สภาวิจัยแห่งชาติจับมือภาคเอกชน เปิดตัวรถเมล์พลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของไทย ใช้ทุนพัฒนา 8.5 ล้านบาท หากผลิตเชิงพาณิชย์เหลือคันละ 3 ล้านบาท ระบุติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ 10 แผงผลิตไฟฟ้าป้อนเครื่องยนต์ เครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศในรถ พร้อมทั้งพลังงานไฟฟ้าสำรองสำหรับขับขี่ในช่วงไม่มีแสงอาทิตย์

วานนี้ (26) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) แถลงเปิดตัว "รถเมล์พลังงานแสงอาทิตย์" คันแรกของไทย เป็นรถ 6 ล้อขนาด 20 ที่นั่ง ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1.5 x 0.66 เมตร จำนวน 10 แผงไว้บนหลังคาขับเคลื่อนด้วยความเร็วปกติประมาณ 50 - 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผลงานวิจัยพัฒนาจากบริษัท คลีนฟูเอล เอ็นเนอร์ยี เอ็นเตอร์ไพร้ส์ จำกัด ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนในโครงการพลังงานทางเลือก จำนวน 8.5 ล้านบาทจากสภาวิจัย

ศ.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ทีมพัฒนารถเมล์พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมจะถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการเพื่อนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจ ทั้งยังมีโครงการที่จะนำผลงานวิจัยนี้ ที่อาจจะเป็นคันที่สร้างใหม่ หรือผลงานต้นแบบที่ตกแต่งใหม่ ซึ่งทีมงานอยู่ระหว่างการหารือ สำหรับนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงมีพระชนมายุครบรอบ 80 ปี และครองราชย์ครบ 60 ปี รวมทั้งจะขยายผลนำไปใช้ในการขนส่งสาธารณะด้วย

พลอากาศโทมรกต ชาญสำรวจ ประธานกรรมการบริษัท คลีนฟูเอล เอ็นเนอร์ยี เอ็นเตอร์ไพร้ส์ จำกัด และหัวหน้าโครงการวิจัย "รถเมล์ขนาดเล็กขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานไฟฟ้า" กล่าวว่า รถเมล์พลังงานแสงอาทิตย์เหมาะที่จะวิ่งบนเส้นทางจราจรแออัด อย่าง สีลม สาทร เจริญกรุง พระราม 9 เนื่องจากจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียง ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังลดใช้พลังงานน้ำมันได้อย่างมหาศาลอีกด้วย

แม้ว่าคันต้นแบบจะใช้ทุนวิจัย 8.5 ล้านบาท และระยะเวลาวิจัยพัฒนา 7 เดือน แต่เมื่อผลิตเชิงพาณิชย์แล้วราคาจะถูกลงเหลือคันละ 3 ล้านบาท ทั้งยังสามารถผลิตให้ได้ถึง 10 คันภายใน 10 เดือน

สำหรับโครงการวิจัยด้านพลังงานต่อไปที่สนใจจะศึกษาคือ การนำไฮโดรเจนที่ขณะนี้ถูกทิ้งโดยสูญเปล่าอย่างมหาศาล มาพัฒนาเป็นพลังงานทดแทนสำหรับใช้กับรถโดยสาร ซึ่งมีความต้องการใช้ในปริมาณมาก ความคืบหน้าขณะนี้ได้เสนอโครงการเพื่อขอรับทุนจากสภาวิจัยแห่งชาติแล้ว คาดว่าจะใช้ทุนวิจัยประมาณ 10 ล้านบาท

"ผลงานรถเมล์พลังงานแสงอาทิตย์ มีขนาด 7 x 2 เมตร สูง 2.70 เมตร บรรจุผู้โดยสาร 20 คน ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ชนิดมัลติคริสตัลไลน์หรือผลึกซิลิกอน ซึ่งราคาแผงละ 20,000 บาท มีคุณสมบัติดูดซับแสงได้ดี และอายุใช้งานนาน 20 ปี แผงโซลาร์เซลล์ทั้ง 10 แผงที่ติดตั้งบนหลังคารถต้นแบบให้พิกัดกำลังรวม 1,200 วัตต์ ซึ่งจะนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานร่วมกับแบตเตอรี่ ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์และป้อนให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในรถ เช่น โทรทัศน์ เครื่องเสียงเครื่องปรับอากาศ และมีระบบไฟฟ้าสำรองสำหรับขับขี่ในช่วงที่ไม่มีแสงอาทิตย์" หัวหน้าโครงการ กล่าว

ทั้งนี้ พลอากาศโทมรกต ชาญสำรวจ เคยได้รับทุนจากสภาวิจัย ในการสร้างเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับพลังงานไฟฟ้า หรือเรือประหยัดพลังงาน ที่ทำจากไฟเบอร์กลาส ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์รวม 20 แผงบนหลังคาเรือ และเปิดตัวต่อสาธารณะไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ลำละ 2.5 ล้านบาท

ที่มา: http://www.komchadluek.net/
Link: http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=143779

Friday, December 22, 2006

นาซาชี้ต้นกำเนิดชีวิตมาจากดาวหาง

นาซาชี้ต้นกำเนิดชีวิตมาจากดาวหาง
นักวิทยาศาสตร์พบเบาะแสต้นกำเนิดของชีวิตบนโลกอาจปะปนมากับดาวหางที่พุ่งชนโลก พิสูจน์ฝุ่นละอองเจอร่องรอยโมเลกุลที่เป็นพื้นฐานสำคัญของสิ่งมีชีวิต

นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ฝุ่นละอองอวกาศของดาวหาง "วิลด์ ทู" ที่ยานอวกาศสตาร์ดัสต์ของนาซาได้เดินทางไปดูดฝุ่นละอองมาใส่ในแคปซูลแล้วส่งกลับมาวิเคราะห์ยังโลก ดาวหางดังกล่าวมีอายุประมาณ 4,500 ล้านปี ยุคเดียวกับช่วงเวลาที่ระบบสุริยะเริ่มก่อร่างสร้างตัว

เดิมเชื่อกันว่า ถิ่นที่อยู่ของดาวหางวิลด์ ทู น่าจะอยู่ไกลจากระบบสุริยะในดินแดนที่เรียกว่า เมฆออร์ต ซึ่งอยู่เลยออกไปจากดาวพลูโตอีกไกลโข ที่เป็นเช่นนี้เพราะก่อนที่ระบบสุริยะจะก่อกำเนิดขึ้นมา สภาพโดยรอบมีลักษณะเป็นกลุ่มก๊าซหมุนวนเป็นแผ่นกลม ต่อมาเกิดการควบแน่นเกิดขึ้นใจกลางของกลุ่มก๊าซ จนมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนพวกซากน้ำแข็งที่หลงเหลืออยู่หลังจากระบบสุริยะและดาวเคราะห์เกิดขึ้นแล้วอยู่ห่างไกลออกไป

อย่างไรก็ดี เมื่อวิเคราะห์ฝุ่นละอองแล้ว กลับพบว่าอนุภาคบางอย่างในฝุ่นดาวหางเป็นอนุภาคที่เกิดขึ้นภายใต้อุณหภูมิสูงจัดเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ถิ่นดาวหางซึ่งหนาวเย็นจะทำให้เกิดอนุภาคดังกล่าวได้

นักวิทยาศาสตร์อธิบาย ช่วงที่ดวงอาทิตย์ก่อตัวมันได้ดีดมวลสารกระเด็นออกไปหลายพันล้านไมล์ และหลอมละลายแร่ธาตุที่อยู่ใกล้ตัวสะสมจนเป็นก้อนหนาจับตัวเป็นดาวหางในที่สุด

นักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านสสารอวกาศ อธิบายว่า ดาวหางอาจก่อตัวเป็นรูปร่างห่างไกลจากดวงอาทิตย์ก็จริง แต่จากการวิเคราะห์ดูมวลสารข้างในแล้วกลับพบว่าดาวหางเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นภายใต้อุณหภูมิที่สูงจัด หรือสูงกว่า 1500 องศาเซลเซียสของดวงอาทิตย์
ฝุ่นละอองจากดาวหางวิลด์ ทู ประกอบด้วย แร่ธาตุหลากชนิด เช่น ออกซิเจนและไนโตรเจน ที่สำคัญยังมีสารอินทรีย์อยู่ด้วย นักวิจัย กล่าวว่า แม้ยังไม่มีใครรู้ว่าสิ่งมีชีวิตในยุคแรกเริ่มของโลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เชื่อกันทั่วไปว่า ดาวหางที่พุ่งชนโลกอาจมีองค์ประกอบทางเคมีสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของกำเนิดชีวิต

ที่มา komchadluek

Thursday, December 21, 2006

คอมพิวเตอร์เพื่อคนพิการ

คอมพิวเตอร์เพื่อคนพิการ ร้านอาหาร "จัดให้"
ขณะที่ร้านกาแฟและร้านอาหารหลายแห่งเปิดให้บริการฟรีอินเทอร์เน็ตแก่ผู้ใช้บริการ แต่ยังไม่มีร้านไหนที่มีโซนพิเศษสำหรับคนพิการ

ร้านอาหารแห่งหนึ่งในสหรัฐจึงประเดิมทำเป็นตัวอย่าง ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ผู้พิการใช้อินเทอร์เน็ตได้สะดวกสบาย

"กู๊ด ไบท์" เป็นร้านขายของมือสองของกลุ่มกู๊ดวิลล์ ซึ่งศูนย์บริการจัดหางานสำหรับผู้พิการที่มีสาขาหลายแห่งทั่วเมืองซาน อันโตนิโอ วิจัยพบว่า ผู้พิการในเขตนี้ 70% เป็นผู้ว่างงาน ที่สำคัญ กว่า 60% ของผู้พิการทั้งหมดไม่มีทักษะด้านการใช้คอมพิวเตอร์

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของกู๊ดวิลล์ ต้องการช่วยให้ผู้พิการมีทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และมีงานทำ จึงระดมทุนมาได้ 1.25 แสนดอลลาร์ จากการบริจาคของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เอทีแอนด์ที และรายได้ที่ได้จากยอดขายอาหารภายในร้านกู๊ดไบท์ มาฝึกพนักงานบริการที่พิการให้มีความรู้ด้านไอที

กู๊ด ไบท์ คาเฟ่ ไม่มีการเก็บค่าบริการสำหรับผู้พิการที่เข้ามาใช้คอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต โดยคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องจะมีอุปกรณ์ซอฟต์แวร์ขยายจอภาพและอ่านออกเสียงเพื่อช่วยให้คนที่มีปัญหาสายตารับรู้ข้อมูลบนเวบไซต์ และยังมีคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวที่ผู้ใช้สามารถบังคับเม้าส์ได้ด้วยการเคลื่อนไหวลูกตา เวลาจะคลิกเม้าส์ก็แค่กะพริบตา

ในร้านยังมีคอมพิวเตอร์ที่ให้ผู้ใช้ติดแผ่นกลมสีเงินไว้ที่จมูกหรือแว่นตาซึ่งเมื่อขยับซ้ายขวา หรือเงยหน้าขึ้นลง เม้าส์บนจอจะเคลื่อนไหวตาม โดยกล้องที่มีซอฟต์แวร์พิเศษจะคอยจดจำการเคลื่อนไหวของแผ่นสีเงินสำหรับเคลื่อนที่ไปบนหน้าจอ

เทคโนโลยีบางอย่าง อาทิ ซอฟต์แวร์เพื่อผู้พิการทางสายตาที่ขยายภาพบนหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น หรืออ่านข้อความบนจอด้วยเสียงดังมีจำหน่ายแล้วในท้องตลาดจับกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุ และมีราคาถูก แต่สำหรับคนพิการแล้วยังถือว่าแพงที่จะซื้อหามาใช้ ผู้บริหารร้านแห่งนี้เชื่อว่า ร้านของเขาอาจจะเป็นแห่งแรกที่เปิดบริการคอมพิวเตอร์ให้คนพิการ และคงไม่มีเพียงแห่งเดียวแน่ในอนาคต

ที่มา: http://www.komchadluek.net/
link: http://www.goodbytescafe.org/

"กูเกิ้ล"เปิดท่องอวกาศ

"กูเกิ้ล"เปิดท่องอวกาศผ่านเว็บไซต์
สำนักงานอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) และเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่กูเกิ้ล จับมือกันเตรียมเปิดโอกาสให้นักท่องอินเทอร์เน็ตได้สำรวจหุบผาบนดาวอังคารและบินร่อนเหนือพื้นผิวของดวงจันทร์แบบเสมือนจริง

ขณะนี้กูเกิ้ลทำข้อตกลงความร่วมมือหลายอย่างกับศูนย์วิจัยของนาซ่าเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาทางเทคนิค และช่วยให้งานสำรวจอวกาศของนาซ่าไปสู่ประชาชนมากขึ้น เช่น แผนที่รายละเอียดของดาวอังคารและดวงจันทร์ของโลกในรูปแบบเดียวกับโปรแกรมแผนที่ดาวเทียมกูเกิลเอิร์ธ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

กูเกิลและนาซ่าตั้งเป้าจะให้บริการทางอินเทอร์เน็ตตรวจสอบสภาพอากาศและพยากรณ์อากาศแบบเวลาจริง ติดตามการโคจรของสถานีอวกาศนานาชาติและกระสวยอวกาศแบบเวลาจริง และแผนที่ดวงจันทร์และดาวอังคารแบบ 3 มิติ

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod/
link: http://www.google.com/

Wednesday, December 20, 2006

ดิสคัฟเวอรีเตรียมกลับโลก

ดิสคัฟเวอรีแยกตัวออกจากสถานีอวกาศเตรียมกลับโลก
20 December 2006

แหลมคานาเวอรัล, รัฐฟลอริดา 20 ธ.ค. กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรีแยกตัวออกจากสถานีอวกาศนานาชาติหรือไอเอสเอสแล้วเมื่อกลางดึกคืนวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเดินทางกลับสู่พื้นโลกหลังปฏิบัติภารกิจในอวกาศเที่ยวล่าสุด

ปฏิบัติการของดิสคัฟเวอรีครั้งนี้ นอกเหนือจากนำอุปกรณ์ อาหารและเครื่องมือน้ำหนักรวมกว่า 4 ตัน ขึ้นไปส่งให้แก่สถานีอวกาศแล้ว ภารกิจสำคัญคือ การซ่อมแซมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีปัญหาสายเคเบิลทำให้ไม่สามารถกางออกได้ โดยการซ่อมแซมใช้เวลามากกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้กำหนดการเดินทางกลับล่าช้าจากเดิมกำหนดกลับถึงพื้นโลกในวันพฤหัสบดีต้องเลื่อนไปเป็นวันศุกร์ นอกจากนี้ การเดินทางของดิสคัฟเวอรียังเป็นการนำซูนิต้า วิลเลียมส์ ขึ้นไปประจำการในสถานีอวกาศแทนโธมัส ไรเตอร์ จากเยอรมนีที่จะเดินทางกลับสู่โลกพร้อมกับดิสคัฟเวอรีอีกด้วย

ทั้งนี้ ไอเอสเอสมีกำหนดการสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ฝูงบินกระสวยอวกาศขององค์การนาซาจะปลดประจำการ ประมาณการว่ากระสวยอวกาศจะต้องบินขนส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับการก่อสร้างขึ้นไปส่งอีกไม่น้อยกว่า 13 เที่ยวในระยะเวลาดังกล่าว

ที่มา bangkokbiznews

Friday, December 15, 2006

ยีนไทยพันธุ์แท้หนทางพัฒนายาส่วนบุคคล

นักวิทย์ประกาศค้นพบยีนไทยพันธุ์แท้หนทางพัฒนายาส่วนบุคคล
นักวิทยาศาสตร์ไทยประกาศความสำเร็จ สามารถระบุรูปแบบพันธุกรรมที่เหมือนกันของคนไทย เผยการค้นพบดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนายาและวิธีรักษาโรคเฉพาะบุคคล ทีเซลส์เปิดกว้างให้หน่วยวิจัยทั่วประเทศเข้าถึงข้อมูล หนุนการพัฒนาวิธีรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของไทยประกาศว่า สามารถระบุรูปแบบพันธุกรรมที่เหมือนกันของคนไทยได้เป็นผลสำเร็จ ภายใต้โครงการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นโครงการหลักของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (ทีเซลส์) ที่จะเสนอเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อไป โดยความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมสุขภาพจิต สถาบันริเก็น โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น และมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา

รศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ ผู้อำนวยการโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันการวิจัยเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาใหม่ เป็นการทดสอบกับผู้ป่วยที่ไม่ใช่คนไทย ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของหน่วยพันธุกรรมในแต่ละชาติพันธุ์ บางครั้งก็ส่งผลที่แตกต่างกันอย่างมหาศาลในการทดสอบประสิทธิภาพของยา

"ความแตกต่างของลำดับดีเอ็นเอ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมเพียงหนึ่งตำแหน่ง หรือที่เรียกว่า SNPs (Single nucleotide polymorphisms) สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ และทำให้คนบางกลุ่มมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคบางโรค หรือมีการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างจากคนอีกกลุ่มหนึ่งได้

การสามารถบ่งชี้ SNPs ที่เหมือนกันในคนไทยนั้น หมายความว่าเราจะสามารถพัฒนายา และการรักษาที่เหมาะสมกับคนไทยโดยเฉพาะ ทั้งยังสามารถทำนายความเป็นไปได้ ในการเกิดโรคบางโรคในคนไทยได้เที่ยงตรงยิ่งขึ้น เช่น อัลไซเมอร์ เบาหวาน โรคเกี่ยวกับหัวใจ หรือแม้กระทั่งมะเร็งบางชนิด ทำให้คนไทยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวได้ล่วงหน้า

ที่มา: http://www.komchadluek.net/

Wednesday, December 13, 2006

ปลูกป่าเขตเหนือทำโลกร้อนขึ้น

ปลูกป่าเขตเหนือทำโลกร้อนขึ้น ขณะที่ป่าเขตร้อนช่วยผ่อนปัญหา

เอเจนซี - รายงานสิ่งแวดล้อมโลกของสหรัฐระบุว่า การเพิ่มเนื้อที่ของป่าเขตร้อนใต้เส้นศูนย์สูตรจะช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนได้ ในขณะเดียวกันการขยายป่าดงดิบในเขตตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตรจะส่งผลในทางตรงกันข้าม

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมงต์เปลิแยร์ 2 (Montpellier University II) ของฝรั่งเศส, สถาบันคาร์เนกี้ (Carnegie Institution) และห้องวิจัยแห่งสหรัฐฯ ลอเรนซ์ ลิเวอร์มอร์ (Lawrence Livermore National Laboratory) ได้ร่วมมือกันศึกษาผลกระทบของการทำลายป่าต่ออุณหภูมิโลกและคาร์บอนในบรรยากาศ

นายโกวินดาซามี บาลา (Govindasamy Bala) หัวหน้าผู้เขียนรายงานดังกล่าวระบุว่า การศึกษาพบว่าป่าเขตร้อนสำคัญต่ออุณหภูมิของโลก เนื่องจากป่าจะดูดซับคาร์บอนเพิ่มปริมาณเมฆ ซึ่งจะช่วยให้โลกเย็นลง ในขณะที่การปลูกป่าเหนือเส้นศูนย์สูตรกลับทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น

นักสิ่งแวดล้อมรู้กันมานานแล้วป่าสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจก และรวบรวมความชื้นเข้าจนกลายเป็นเมฆที่ป้องกันแสงอาทิตย์อันร้อนแรงได้

นักวิจัยที่เกี่ยวข้องในการศึกษาดังกล่าวชี้ว่ากลุ่มเมฆที่อยู่เหนือป่าทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรจะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์เอาไว้ และทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น การปลูกป่าทางเขตที่เลยเส้นกึ่งกลางโลกขึ้นมา จึงไม่ช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างที่เข้าใจกันมาแต่เดิม

"การปลูกป่าเหนือเส้นศูนย์สูตรดูเหมือนจะมีผล "เป็นศูนย์" หรือเป็นผลเสียในเรื่องภาวะโลกร้อน แนวโน้มที่ร่มเงาไม้อันหนาทึบจะดูดซับแสงอาทิตย์เอาไว้ แล้วทำให้โลกอุ่นขึ้น ได้ถูกมองข้ามมาโดยตลอด" บาลากล่าว

"การที่ร่มใบของป่าใหม่ในเขตทางเหนือซึ่งอยู่ละติจูดสูงปิดทึบพื้นผิวโลก ทำให้เกิดการดูดซับแสงอาทิตย์ไว้ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้น" บาลากล่าว

ผลการศึกษาสรุปว่า ภายในปี 2100 ป่าไม้ในเขตละติจูดกลางและสูงจะทำให้บางพื้นที่อุ่นขึ้นกว่าการไม่มีป่าไม้เหล่านั้นได้ถึง 10 องศาฟาเรนไฮต์

"ผลการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้นั้นไม่น่าจะมีผลกับสภาพภูมิอากาศในฐานะเป็นตัวช่วยชะลอภาวะโลกร้อน" เคน คัลเดรา (Ken Caldeira) ผู้เขียนวิจัยร่วมจากสถาบันคาร์นิกี กล่าว

"เพื่อเป็นการป้องกันสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบการใช้พลังงาน มีแต่การเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันเป็นถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ เท่านั้น จึงจะทำให้เรารักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีไว้ได้ เราต้องให้ความสำคัญกับวิธีที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่วิธีที่รู้สึกว่าดี" คัลเดราระบุ

รายงานดังกล่าวเป็นรายงานฉบับแรกที่ประเมินปัญหาที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรอบด้าน และจะนำเสนอต่อสมาคมภูมิศาสตร์กายภาพแห่งอเมริกา (American Geophysical Society) ในวันที่ 15 ธ.ค.ระหว่างการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นในซาน ฟรานซิสโก

ที่มา manager

พัฒนาคอมพ์พกพาให้คนตาบอด

พัฒนาคอมพ์พกพาให้คนตาบอด มอ.คิดค้นได้ถูกกว่านำเข้า

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับผู้พิการทางสายตาครบชุด ถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศกว่าแสนบาท คุณสมบัติครบถ้วน ต่อเชื่อมกับอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ในไทยได้สะดวก

ดร.พิชญา ตัณฑัยย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เปิดเผยว่า นักศึกษาภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.เขตการศึกษาภูเก็ต จัดทำโครงการวิจัยเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีคีย์บอรด์และหน่วยแสดงผลแบบเบรลล์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยได้รับเงินสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ โดยนำไปให้ผู้พิการทางสายตาทดลองใช้เพื่อหาจุดบกพร่อง คาดว่าปี 2550 จะสามารผลิตออกมาเพื่อแจกจ่ายและจำหน่ายให้ผู้พิการทางสายตาได้

ทั้งนี้คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ผลิตนี้จะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากอุปกรณ์ที่นำมาประกอบนั้นจะเน้นของที่หาง่ายตามท้องตลาด มีราคาถูก และสามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้ตามมาตรฐานของระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป รวมถึงในส่วนของซอฟต์แวร์ได้ออกแบบให้ทำงานบนระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ และสามารถนำคำสั่งเบื้องต้นสำหรับการเขียนโปรแกรมหรือ ซอร์ส โค้ด ที่มีอยู่แล้วมาแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับการประมวลผลภาษาไทยได้ด้วย สำหรับฮาร์ดแวร์ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์นี้จะประกอบด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ครบชุด ทั้งคีย์บอรด์รับข้อมูลจากผู้ใช้และส่วนแสดงผลเบรลล์

ที่มา: komchadluek

ถนนสายวิทยาศาสตร์

“ถนนสายวิทยาศาสตร์” ความรู้คู่ความสนุกในงานวันเด็กแห่งชาติปี 50

พี่ป้าน้าอา และน้องๆ หนูๆ ทั้งหลายเตรียมตัวนับถอยหลังรอความบันเทิงแฝงความรู้ได้แล้ว สำหรับการจัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” ที่มีกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นแม่งาน โดยจะลั่นกลองเปิดงานอย่างเป็นทางการในช่วงสัปดาห์ “วันเด็กแห่งชาติ” ที่จะถึงในอีก 1 เดือนต่อจากนี้

บ่ายวานนี้ (12 ธ.ค.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้จัดการประชุมเตรียมการจัดงานถนนสายวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 2 ขึ้น ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซ.โยธี กรุงเทพฯ โดยมี ดร.พิชัย สนแจ้ง ผอ.องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ของกระทรวง ในฐานะผู้ประสานงานการจัดงาน เป็นประธานการประชุม พร้อมมีตัวแทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และพันธมิตรบ้านใกล้เรือนเคียง เข้าร่วมการประชุม

ดร.พิชัย เผยภายหลังการประชุมว่า สำหรับการจัดงานดังกล่าวถือว่ามีความสมบูรณ์แล้วประมาณ 90% และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เป็นอย่างดี จึงเหลือเพียงแต่ละหน่วยงานจะได้ลงมือจัดนิทรรศการ กิจกรรม และการแสดงต่างๆ ตามที่ได้เสนอต่อที่ประชุมไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งนอกจากหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะได้ลงขันและลงแรงร่วมกันจัดงานแล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกันกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในพื้นที่เขตราชเทวี มาร่วมจัดกิจกรรมและการแสดงในพื้นที่ของแต่ละหน่วยงานเองด้วย

ตัวอย่างกิจกรรมในงาน เช่น การแสดงผลงานและการจัดกิจกรรมของหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทั้ง 16 หน่วยงาน อาทิ การจัดรายการเมก้าเคลฟเวอร์ ฉลาดสุดสุด เวอร์ชั่นเด็ก ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการโชว์ผลงานนวัตกรรมฝีมือคนไทยของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) การจัดไซน์โชว์และโอเพ่นเฮ้าส์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์เปิดของกรมธรณีวิทยา ตลอดจนถึงการจัดกิจกรรมการประดิษฐ์ การทดลอง การเสวนากับนักวิทยาศาสตร์ การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ และการออกร้านสินค้าวิทยาศาสตร์ต่างๆ เป็นต้น

ดร.พิชัย ให้รายละเอียดด้วยว่า ระยะเวลาการจัดงานถนนสายวิทยาศาสตร์จะแบ่งเป็น 2 ระยะด้วยกัน คือ ในช่วงแรกจะเริ่มเปิดงานในวันที่ 9 ม.ค.ที่จะถึงนี้ เรื่อยไปจนถึงวันที่ 13 ม.ค.ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ จากนั้นจะเป็นการจัดนิทรรศการกึ่งถาวรและนิทรรศการถาวรตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ สลับกับการแทรกกิจกรรมและการแสดงในช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งหากการจัดงานครั้งนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็จะมีการขยายการจัดงานไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป อาทิ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวทช. ณ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ด้วย

ส่วนหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมจัดงาน คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดล องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข กรมสารวัตรทหาร และสำนักงานพื้นที่เขตราชเทวี

การจัดงานดังกล่าวจึงครอบคลุมพื้นที่ ซ.โยธี ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมธรณีวิทยา กรมสารวัตรทหาร ไล่ไปจนถึงพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การเภสัชกรรม ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันต่อเนื่องไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดถนนสายวิทยาศาสตร์ขึ้นมาสมชื่องานจริงๆ

“เราอยากจะขอเชิญชวนประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ เยาวชนที่สนใจในวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ก็ได้ ให้ได้เข้าพบกับโลกของวิทยาศาสตร์ ว่าขณะนี้เราสามารถนำวิทยาศาสตร์ไปใช้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันอย่างไรได้บ้าง และเรามีแนวทางการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศอย่างไรได้บ้าง จึงอยากให้ได้มาร่วมงานดังกล่าวที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9-13 ม.ค.ที่จะถึงนี้ด้วย” ดร.พิชัย กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา manager

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

สำนักงานอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) พบหลักฐานยตอกย้ำชัดเจนว่าเคยมีน้ำในรูปของเหลวอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคาร ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับความเชื่อที่ว่าจะพบสัญญาณแห่งสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร

ไมเคิล เมเยอร์ เจ้าหน้าที่นาซ่าและหัวหน้าโครงการสำรวจดาวอังคาร เปิดเผยว่า ดาวเทียมสำรวจดาวอังคารสามารถถ่ายภาพแนวร่องทางน้ำความยาวหลายร้อยเมตรบนพื้นผิวดาวอังคารที่แสดงให้เห็นว่า เคยมีน้ำไหลในบริเวณนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การสำรวจดังกล่าวแสดงหลักฐานหนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาว่าบนพื้นผิวดาวอังคารมีน้ำอยู่

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มุ่งศึกษาดาวอังคารมีความสงสัยกันมาเนิ่นนานว่า จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่ การพบร่องรอยว่ามีน้ำอยู่บนดาวอังคารเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนความเชื่อดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญของนาซาและนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ต้องการทำการสำรวจครั้งใหม่เพื่อหาน้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร แต่การส่งมนุษย์ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคารเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่ามีดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากพุ่งชนดาวอังคารอยู่เสมอ

ยานสำรวจดาวอังคารถูกส่งออกไปนอกโลกตั้งแต่ปี 2540 ทำหน้าที่ถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับโลกและส่งมายังนาซ่าแล้วถึง 240,000 ภาพ ในจำนวนนี้หลายภาพสามารถมองเห็นร่องน้ำนับพันบนพื้นผิว และเมื่อปีที่แล้ว ภาพที่ส่งมาก็แสดงให้เห็นร่องน้ำใหม่ 2 สาย ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน นักวิทยาศาสตร์บอกว่า

"แม้ภาพจะไม่แสดงให้เห็นว่ามีน้ำโดยตรง แต่ทำให้เห็นว่ามีน้ำในสภาพของเหลวไหลอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคารพอๆ กับปริมาณของน้ำในสระว่ายน้ำราว 5-10 สระ" เจ้าหน้าที่นาซ่า ระบุ


ที่มา khaosod

Tuesday, December 12, 2006

ฝนดาวตก “เจมินิดส์” ชุกกว่าลีโอนิดส์

13-14 ธ.ค.นี้ ลองนับฝนดาวตก “เจมินิดส์” ชุกกว่าลีโอนิดส์ชั่วโมงละ 100 ดวง

ใครที่พลาดกับการนับฝน “ลีโอนิดส์” ที่ผ่านมา หรือผิดหวังกับปริมาณดาวตกที่น้อยนิด ยังมีโอกาสให้นอนนับดาวตกกันอีกครั้งกับฝนดาวตก “เจมินิดส์” ที่จะมีความชุกชุมของดาวตกถึง 100 ดวงต่อชั่วโมง หลายสถานที่จัดกิจกรรมรับปรากฏการณ์

ช่วงประมาณวันที่ 6-19 ธ.ค.ของทุกปีเป็นช่วงเวลาของการเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids Meteor Shower) หรือ “ฝนดาวตกคนคู่” โดยวันที่ 13-14 ธ.ค.เป็นช่วงเวลาที่มีปริมาณฝนดาวตกสูงสุด สำหรับปีนี้นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราสูงสุด 100 ดวงต่อชั่วโมง วิธีการสังเกตให้เลือกสถานที่มีท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ ปราศจากหมอกและแสงไฟรบกวน

น.ส.ประพีร์ วิราพร เลขาธิการสมาคมดาราศาสตร์ไทย แนะวิธีสังเกตฝนดาวตกชุดนี้ว่าให้หันหน้าไปทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศที่ดาวคนคู่ซึ่งเป็น “จุดกระจายฝนดาวตก” (radiant) ของเจมินิดส์ และกวาดสายตาขึ้นไปกลางฟ้า โดยเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่หัวค่ำที่ดาวคนคู่เริ่มขึ้นไปจนถึงตี 2 เพราะหลังจากนั้นดวงจันทร์จะขึ้นและมีแสงรบกวน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับท้องฟ้าขณะนั้นด้วยว่ามีพายุ หรือเมฆหมอกมาปกคลุมด้วยหรือไม่

พร้อมกันนี้ น.ส.ประพีร์ยังยืนยันว่าฝนดาวตกเจมินิดส์จะมีปริมาณเยอะกว่าฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะเป็นฝนดาวตกที่เกิดจากดาวเคราะห์น้อย “เพธอน3200” (3200Phaethon) แต่ครั้งนี้ทางสมาคมฯ คงไม่ได้จัดกิจกรรมใดๆ เพราะเป็นช่วงวันเวลาราชการและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ติดภารกิจประจำ

ทางด้านนายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต กรรมการสมาคมดาราศาสตร์ฯ กล่าวว่า ได้ร่วมกับโรงเรียนไผ่แก้ววิทยา จ.ฉะเชิงเทรา จัดกิจกรรมนับฝนดาวตกอย่างถูกต้องบริเวณสนามของโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เคยจัดมาแล้วเมื่อครั้งเกิดฝนดาวตกลีโอนิดส์ที่ผ่านมา โดยจะเปิดรับสมัครนักเรียนและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 10 ทีมๆ ละ 10 คน โดยแต่ละทีมจะให้สมาชิก 4 คนนอนหันหัวชนกันใน 4 ทิศ เพื่อขานเวลาเห็นดาวตก และระบุสี ทิศ ลักษณะของดาวตกที่เห็น สมาชิกอีก 1 คนทำหน้าที่ขานเวลาที่มีสมาชิกเห็นดาวตก และมีสมาชิก 2 คนคอยจดบันทึกไปพร้อมๆ กับการสังเกตปรากฏการณ์

“จากที่เช็คดูช่วงพีคที่สุดคือเวลา 15.17 น. ซึ่งตรงกับเวลากลางคืนของสหรัฐ โดยน่าจะมีดาวตกสูงสุด 100 ดวงต่อชั่วโมง ส่วนของไทยน่าจะไม่เกิน 60 ดวงต่อชั่วโมง แต่ก็ไม่แน่ การทำนายฝนดาวตกยากมาก เพราะคล้ายกับเราวิ่งผ่านธารน้ำตก ซึ่งอาจจะเปียกมากหรือน้อย ส่วนฝนดาวตกนั้นโลกของเราก็วิ่งปะทะฝุ่นดาวหางจริงๆ แค่ 1-2 ชั่วโมง ถ้าหลังจากช่วงพีคก็ไม่ต้องไปดูแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องเผื่อความหวังไว้ด้วย”

นายวรวิทย์ย้อนกลับไปว่าเมื่อปี 2544 ที่มีฝนดาวตกลีโอนิดส์นั้น เกิดช่วงพีคสูงสุดในช่วงตี 1-2 ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการชมฝนดาวตกและเห็นได้ในเมืองไทย อย่างไรก็ดีเขาได้ติดตามฝนดาวตกมาทุกปี แม้ว่าบางปีจะเห็นดาวทั้งคืนแค่ 5 ดวงก็ตาม แต่ก็ดูเพื่อเป็นประสบการณ์ ส่วนใครที่สนใจจะมาร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนไผ่แก้ววิทยานั้นให้ติดต่อกับทางผู้อำนวยการโรงเรียนได้โดยตรง

ส่วน รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดเผยว่า ในคืนวันที่ 14 ธ.ค. ทางสถาบันฯ จะจัดกิจกรรมชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ ณ หอดูดาวสิรินธร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมทั้งจัดบรรยายพิเศษเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฝนดาวตกโดยนักวิชาการด้านดาราศาสตร์ของฝนดาวตกเจมินิดส์

“ต้นกำเนิดฝนดาวตกเจมินิดส์เกิดจากแกนกลางของดาวหางที่สลายตัวหมดแล้วกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย เพธอน 3200 สิ่งที่น่าสนใจในฝนดาวตกเจมินิดส์ครั้งนี้ คือมีโอกาสจะเห็นดาวตกที่สว่างมาก ๆ หรือที่เรียกว่า “ไฟร์บอล” (Fire Ball) การเกิดฝนดาวตกในครั้งนี้จะเกิดในกลุ่มดาวคนคู่ที่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และจะเริ่มเห็นฝนดาวตกได้ตั้งแต่เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งเป็นฝนดาวตกอีกอันหนึ่งที่มีความน่าสนใจมากในปีนี้” รศ.บุญรักษาให้ข้อมูล

ส่วนใครที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกับทางสถาบันดาราศาสตร์ฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเดินทางไปร่วมกิจกรรมได้ที่หอดูดาวสิรินธรในวันดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสอบทางสถาบันฯ ได้ที่ โทร.0-5322-5569

นอกจากนี้ น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว ยังแจ้งอีกว่า ทางหอดูดาวเกิดแก้ว จ.กาญจนบุรี ก็ได้จัดกิจกรรม “วิจัยฝนดาวตกเจมินิดส์” ขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 ธ.ค. ซึ่งเป็นกิจกรรมสำหรับอาจารย์ประมาณ 20-30 คน แต่ไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าร่วม

ที่มา manager

พบร่องรอยน้ำไหลบนดาวแดง

นาซาตาวาวพบร่องรอยน้ำไหลบนดาวแดงในช่วง 10 ปีนี้

เอเจนซี/เอพี/บีบีซีนิวส์ – นาซาค้นพบหลักฐานชี้ว่าพื้นผิวของดาวอังคารมีน้ำไหลผ่านในช่วงเวลาไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา สร้างความหวังในการตามหาสิ่งมีชีวิตบนดาวแดง และเพิ่มความเป็นไปได้ในการตั้งฐานที่มั่นบนดาวฝาแฝดโลกในอนาคต ท่ามกลางสภาพที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต

องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ที่กำลังขมักขเม้นสำรวจดาวอังคาร ก็พบหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความหวังของการมีชีวิตบนดาวอังคาร โดยดาวเทียมเอ็มจีเอส (Mars Global Surveyor : MGS) ซึ่งโคจรไปรอบๆ ดาวอังคาร สามารถถ่ายภาพแนวร่องทางน้ำบนพื้นผิวดาวแดงที่แสดงให้เห็นว่า เคยมีน้ำไหลในบริเวณนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมาลิน สเปซ ไซน์ ซิสเต็ม (Malin Space Science Systems) ในซานดิเอโก ผู้ดูแลกล้องบันทึกภาพบน MGS ได้ตัดสินใจบันทึกภาพบริเวณที่เชื่อว่าเคยเป็นทางน้ำไหลนับพันๆ ภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ต่อข้อสันนิษฐานดังกล่าว

ไมเคิล เมเยอร์ (Michael Mayer) หัวหน้าโครงการสำรวจดาวอังคาร นาซา เผยว่า การสำรวจดังกล่าวให้หลักฐานหนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ว่าบนพื้นผิวดาวอังคารมีน้ำอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่รายอื่นของนาซา ก็ให้ข้อมูลว่า ร่องน้ำที่สำรวจพบนั้น มีความยาวหลายร้อยเมตร

ยานสำรวจที่ถูกส่งไปยังวงโคจรของดาวอังคารตั้งแต่ปี 2540 สามารถถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับโลก และส่งมายังนาซา ถึง 240,000 ภาพ หลายภาพสามารถมองเห็นร่องน้ำนับพันบนพื้นผิว และเมื่อปีที่แล้ว ภาพที่ส่งมาก็แสดงให้เห็นร่องน้ำใหม่ 2 สาย ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน โดยทั้ง 2 สายถูกบันทึกไปเมื่อปี พ.ศ.2542 และ 2543 จากนั้นก็มีการบันทึกภาพอีกครั้งในปี 2547 และ 2548 แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทางน้ำไหล

ทั้ง 2 กรณีนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นสีสว่างๆ ที่บริเวณทางน้ำไหล ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภาพต้นฉบับ ซึ่งอาจเป็นได้ว่าร่องดังกล่าวมีโคลน เกลือ หรือน้ำแข็งจับอยู่ในนั้น และถูกน้ำเซาะออกไป แม้ว่าภาพจะไม่แสดงให้เห็นว่ามีน้ำโดยตรง แต่ทำให้เห็นว่ามีน้ำในสภาพของเหลวไหลอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคาร ในปริมาณของน้ำในสระว่ายน้ำราว 5-10 สระ

ทว่านักวิทยาศาสตร์บางรายก็ตั้งข้อสังเกตว่าร่องรอยเหล่านั้นอาจเกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เหลวก็เป็นได้ หนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้นเพราะแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลว่าหลุมขอบต่างๆ ของดาวอังคารนั้นจะมีน้ำได้ก็ต่อเมื่อหลุมนั้นๆ ลึกเป็นกิโลๆ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์เหลวสามารถอยู่ในหลุมตื้นๆ ได้ เพราะอุณหภูมิที่พื้นผิวลดต่ำถึง -170 องศาเซลเซียส

โอเด็ด อฮารอนสัน (Oded Aharonson) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางด้านดาวเคราะห์สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (คาลเทค) เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ถึงกิจกรรมของน้ำบนดาวอังคารนั้น ก็เพื่อหาความเป็นไปได้ในการสำรวจดาวอังคาร ซึ่งการศึกษาขั้นต่อไปคือการวิเคราะห์ร่องรอยเหล่านั้นว่าเป็นฝุ่นหรือเป็นน้ำกันแน่

ผู้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวนี้สงสัยกันมาเนิ่นนานว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่ การพบร่องรอยว่ามีน้ำอยู่บนดาวอังคารเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนความเชื่อดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญของนาซา และนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ต้องการทำการสำรวจครั้งใหม่เพื่อหาน้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร แต่การส่งมนุษย์ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคารเป็นเรื่องอันตราย เพราะว่ามีดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากพุ่งชนดาวอังคารอยู่เสมอ

ที่มา manager

แปรหญ้ามาเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ

แปรหญ้ามาเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ใช้ผลิตไฟฟ้าพอใช้กันได้ทั้งโลก

อาจารย์เดวิด ทิลแมน กับคณะแห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา ของสหรัฐฯ กล่าวว่า อาจจะเอาหญ้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งจะให้พลังงานได้มากกว่าเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่ทำจากข้าวโพดและถั่วเหลืองต่อไร่ ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันเสียอีก เพราะเหตุว่าการที่ใช้ข้าวโพดและถั่วเหลืองมาทำเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพนั้น ยังถูกโจมตีว่าต้องสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากฟอสซิลในการนำมากลั่นเป็นน้ำมัน เพื่อใช้กับรถแทรกเตอร์ ทำปุ๋ยและในการแปรพืชผลเหล่านี้ให้เป็นเชื้อเพลิงเสียอีก

ที่มา thairath

Monday, December 11, 2006

เนคเทคติดตั้งเซ็นเซอร์ลงสวนเกษตร

เนคเทคติดตั้งเซ็นเซอร์ลงสวนเกษตรวัดสภาพดินฟ้าอากาศพืชสวนไม้ดอก

นักวิจัยเนคเทคนำเทคโนโลยีมาผสมผสานใช้กับเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิตให้ได้ตรงความต้องการตลาด ทดลองติดเซ็นเซอร์ตรวจเช็คสภาพดินฟ้าอากาศจากเรือนกล้วยไม้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลเรือนเพาะปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมที่สุดสำหรับกล้วยไม้

นายสมหมาย โชครุ่ง ผู้ช่วยนักวิจัยประจำศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้พัฒนาเทคโนโลยีตรวจวัดสภาพแวดล้อมไร้สายเพื่อช่วยให้เกษตรกรควบคุมตัวแปรของสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของพืชในเรือนเพาะชำ หรือแม้แต่สวนเปิด

จากแนวคิดดังกล่าวทีมวิจัยเนคเทคจึงประดิษฐ์ ระบบตรวจวัดสำหรับการทำเกษตรกรรมด้วย โดยติดตั้งเซ็นเซอร์ 5 ชนิดสำหรับตรวจสอบสภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่น วัดอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ ความชื้นในดิน ปริมาณน้ำฝน ปริมาณแสง เป็นต้น ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปประมวลผลที่เครือแม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) ผ่านเทคโนโลยีส่งข้อมูลไร้สาย GPRS ที่ใช้กับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยผู้ควบคุมผลผลิตสามารถเรียกดูข้อมูล หรือสภาวะอากาศในสวนหรือไร่โดยที่ไม่ต้องเข้าไปดูด้วยตนเอง

อย่างไรก็ดี การปรับตั้งค่าเซ็นเซอร์เหล่านี้ เจ้าหน้าที่ยังต้องเข้าไปปฏิบัติที่ตัวเครื่องโดยตรง ยังไม่สามารถสั่งการจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ลงมาได้ โดยทีมวิจัยตั้งเป้าพัฒนาระบบตั้งค่าในตัวเครื่องให้เป็นระบบรีโมทคอนโทรลในอนาคต และขณะนี้กำลังพัฒนาระบบตรวจวัดสำหรับการทำเกษตรกรรม แบบเครือข่ายย่อยโดยลดขนาดอุปกรณ์ให้เล็กลง สามารถตั้งได้ทั่วถึงขึ้นทั่วบริเวณพื้นที่เพาะปลูก และส่งข้อมูลด้วยระบบไร้สายไปยังเครื่องแม่ข่าย ปัจจุบันความคืบหน้าไปกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ผู้ช่วยนักวิจัย กล่าวเสริมว่า จากการทดลองในสวนกล้วยไม้ ไร่อ้อย หลังจากเครื่องเสร็จสมบูรณ์ พบว่าเครื่องตรวจวัดสำหรับการทำเกษตรกรรม สามารถให้ผลการตรวจวัดแม่นยำ นักวิจัยสามารถนำข้อมูลที่เครื่องเก็บและส่งต่อมายังเซิร์ฟเวอร์ใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงผลิตผล หรือแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงทีโดยที่ไม่ต้องเดินเข้าไร่ด้วยตนเอง
งานวิจัยดังกล่าวหากนำไปใช้งานจริงจะช่วยลดเวลาการเดินเก็บข้อมูลด้วยตนเองของเกษตร ทั้งยังสามารถดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ

ที่มา komchadluek

Sunday, December 10, 2006

เพนกวินดำน้ำอึดกว่าพันเมตร

เพนกวินดำน้ำอึดกว่าพันเมตร

เพนกวินขั้วโลกใต้ตัวอ้วนหนีบขาเดินต้วมเตี้ยมที่เห็นกันในภาพยนตร์สารคดี หรือที่เรียกกันว่าเพนกวินจักรพรรดิ เป็นสัตว์ที่น่าทึ่ง และมหัศจรรย์อย่างยิ่ง นอกจากสามารถทนอยู่ในดินแดนที่แสนจะหนาวเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ยังดำน้ำได้อึดและลึกหลายร้อยเมตร นักวิจัยจึงอยากรู้ว่ามันทำได้อย่างไร เผื่อเอามาใช้ให้คนหัดกลั้นหายใจช่วยให้ผ่าตัดไม่ต้องดมยาสลบ

เพนกวินจักรพรรดิเป็นเพนกวินที่ตัวสูงที่สุดและน้ำหนักมากที่สุดในบรรดาสัตว์ตระกูลเดียวกัน มันสามารถเดินขบวนได้ไกลนับร้อยกิโลเมตรเพื่อไปยังถิ่นผสมพันธุ์ และสามารถกลั้นหายใจดำน้ำครั้งเดียวได้นานถึง 20 นาที เพื่อลงไปหาปลาและอาหารทะเล
นักวิจัยได้ลองใช้เครื่องมือขนาดเล็กสำหรับวัดระดับความลึกพบว่า เพนกวินจักรพรรดิสามารถดำน้ำได้ลึกกว่า 1,800 เมตร แล้วขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดปรับความดัน ขณะที่มนุษย์สามารถลอยตัวสู่ผิวน้ำจากระดับความลึกสุด 300 ฟุต โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ดำน้ำช่วย

นักวิจัยยังไม่แน่ใจว่าเพนกวินจักรพรรดิดำลงไปลึกขนาดนั้นและโผล่ขึ้นผิวน้ำทันทีได้อย่างไร โดยไม่เกิดอาการที่เรียกว่า โรคลดความกดดัน หรือโรคน้ำหนีบ ซึ่งเกิดจากร่างกายไม่ได้ปรับสภาพเมื่อลอยขึ้นจากกภาวะแรงกดดันสูงสู่ภาวะแรงกดอากาศต่ำกว่าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ก๊าซไนโตรเจนก่อตัวเป็นฟองในกระแสเลือดขณะที่สับเปลี่ยนกับก๊าซที่อยู่ในปอด และบริเวณที่เกิดฟองอากาศจะเกิดอาการชา และอาจถึงกับเสียชีวิตได้

นอกจากเพนกวินแล้วยังมีแมวน้ำที่สามารถดำน้ำได้ลึก และลึกกว่าเพนกวินด้วยซ้ำ แต่สัตว์อย่างแมวน้ำไม่เกิดอาการโรคน้ำหนีบเพราะมันจะหดปอดของมันให้แคบเมื่อดำน้ำ แต่เพนกวินไม่ได้ใช้เทคนิคดังกล่าวเพราะโครงสร้างปอดไม่เหมือนกัน

นักวิจัยยังศึกษาว่าเจ้าเพนกวินจักรพรรดิสามารถกลั้นหายใจอยู่ในน้ำนานๆ ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ว่ายน้ำเท่านัน มันยังเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีทั้งที่ออกซิเจนในปอดลดลงมาก ถ้าเป็นมนุษย์หากออกซิเจนเหลือแค่ระดับเพนกวินในน้ำคงหมดสติไปแล้ว

เทียบกับมนุษย์แล้ว แมวน้ำและเพนกวินจักรพรรดิมีออกซิเจนไหลเวียนในเลือดมากกว่า เพราะสัตว์สองชนิดนี้มีปริมาณเลือดในตัวมากกว่า และมีเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พาออกซิเจนผ่านเข้าไปในกระแสเลือดมากกว่า นอกจากนี้ เพนกวินยังมีมายโอโกลบินสำหรับเก็บออกซิเจนในกล้ามเนื้อมากกว่าด้วย เวลาที่มันว่ายน้ำ มันจึงมีออกซิเจนมากมายให้เรียกใช้

เพนกวินยังต่างกับมนุษย์ตรงที่มันสามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจขณะว่ายน้ำได้ด้วย มันจึงเรียกออกซิเจนที่เก็บไว้มาใช้อย่างช้าๆ นักวิจัย กล่าวว่า ถ้าพวกเขารู้ว่าร่างกายของเพนกวินสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพเหล่านี้ได้อย่างไรแล้ว อาจนำไปปรับปรุงเทคนิคการวางยาสลบ และยังช่วยในการวิจัยเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อเสียหายเมื่อขาดออกซิเจนด้วย

ที่มา komchadluek

ระวังภัย!ไวรัสคอมพ์ยุคใหม่

ระวังภัย!ไวรัสคอมพ์ยุคใหม่กลายพันธุ์เก่ง

ไซแมนเทคเผย ไวรัสคอมพ์ยุคใหม่กลายพันธุ์เก่ง หลบอยู่ตามซอกหลืบ จ้องดึงข้อมูลส่วนตัวหวังเจาะกระเป๋าตังค์ ระบุ 86% พุ่งเป้ากลุ่มผู้ใช้คอมพ์ตามบ้าน

นายสันติ ประสานวงศ์วุฒิ Country Channel Manager บริษัท ไซแมนเทค จำกัด เปิดเผยว่า รูปแบบของไวรัสในปัจจุบันเปลี่ยน แปลงไปมากมีความซับซ้อนกว่าไวรัสยุคก่อน เนื่องจากผู้สร้างไม่ต้องการชื่อเสียงในการเขียนไวรัสเหมือนในอดีต แต่ต้องการข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสบัตรเครดิต ซึ่งหวังผลทางด้านการเงิน ดังนั้น ไวรัสในปัจจุบันจึงยากต่อการหลบซ่อนอยู่ตามซิส เต็มส์ต่าง ๆ และกลายพันธุ์ได้อัตโนมัติระหว่างเผยแพร่ ทำให้โปรแกรมป้องกันไวรัสหาไม่พบ

ส่วนรูปแบบภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่มีความซับซ้อนในการทำลาย และถูกค้นพบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สปายแวร์ (Spyware) ซึ่งมีความสามารถในการขโมยข้อมูล, มัลแวร์ (Malware) โปรแกรมไวรัสที่ซ่อนอยู่ในอินเทอร์เน็ตสำหรับล้วงข้อมูล และกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พบว่าติดมากับอีเมล โดย 2 ปีนี้มัลแวร์มีการเติบโตสูงมาก และฟิชชิ่ง (Phishing) การหลอกลวงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยหลอกผู้เสียหายเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสลับ (Password) หรือหมายเลขบัตรเครดิต ผ่านทางเว็บเพจที่มี URL เหมือนกับเว็บไซต์ที่ผู้เสียหายเป็นสมาชิก

จากการสำรวจภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตของไซแมนเทค พบว่า เป้าหมายการโจมตีของไวรัสได้เปลี่ยนไป โดยมุ่งเจาะข้อมูลผู้ใช้คอมพิวเตอร์ตามบ้านและทุกคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 86 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากกลุ่มนี้ให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันไวรัสน้อยกว่าองค์กรขนาดใหญ่ และแนวโน้มการถูกโจมตีของไวรัสในกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านก็มีอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ และตลาดอินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้ ปีนี้ไซแมนเทคเน้นกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน โดยออกโซลูชั่นป้องกันไวรัสใหม่ ได้แก่ นอร์ตัน อินเทอร์เน็ต ซีเคียวริตี้ 2007 (Norton Internet Security 2007) โซลูชั่นป้องกันไวรัส สปายแวร์ และภัยอื่น ๆ ซึ่งเทคโนโลยีของไซแมนเทคสามารถตรวจจับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่กลายพันธุ์จากสายพันธุ์เดิมได้ โดยไม่จำเป็นต้องถูกค้นพบและอัพเดทชื่อไว้ในฐานข้อมูลก่อน รวมทั้งมีระบบไฟร์วอลล์อัจฉริยะ อนุญาตให้แอพพลิเคชั่นที่ปลอดภัยสามารถต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ และยับยั้งสปายแวร์ ไวรัส หนอนคอมพิวเตอร์ และแฮก เกอร์ไม่ให้ขโมยข้อมูลของผู้ใช้งานออกจากพีซีได้

นอกจากนี้ยังมี นอร์ตัน คอนฟิเดนเทียล (Norton Cofidential) โซลูชั่นที่ป้องกันผู้ใช้จากการคุกคามในการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การทำรายการทางธนาคารผ่านอินเทอร์เน็ต และการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยี Heuristic (ฮิวริสติค) หรือการประเมินข้อมูลแต่ละหน้าของเว็บเพจ เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลของฟิชชิ่ง รองรับการใช้งานในระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ เอ็กซ์พี โฮม/เอ็กซ์พี โปร ยูส (Windows XP Home/XP Pro users), วินโดวส์ วิสต้า (Windows Vista) และระบบปฏิบัติการแมคอินทอช

ที่มา dailynews

Monday, December 4, 2006

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก

รมว.วิทย์ “ปลื้ม” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
"ยงยุทธ" เชียร์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก แก้ปัญหาโลกร้อน สอดรับสนธิสัญญายูเอ็น อีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านการแพทย์ เกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม ด้านเพื่อนบ้านของไทยหลายประเทศเตรียมก่อสร้างด้วยกันหลายแห่ง ยอมรับหากอนาคตพลังงานมีราคาแพง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองไทยอาจเป็นทางออก

ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนของสภาความร่วมมือทางด้านนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชีย หรือ เอฟเอ็นซีเอ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ เมืองควนตัน ประเทศมาเลเซีย เพื่อการกำหนดนโยบายการวิจัยและพัฒนาการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม พบว่ามีหัวข้อที่น่าสนใจ ควรแก่การเผยแพร่หลายเรื่องด้วยกัน

หัวข้อความร่วมมือของชาติสมาชิกที่สำคัญ ได้แก่ วิธีการรักษามะเร็งแบบใหม่บริเวณสมอง คอ และปากมดลูก ตลอดจนถึงการตรวจและการรักษามะเร็งและเนื้องอกด้วยรังสีจากเครื่องไซโครตอน การปรับปรุงพันธุ์พืชด้วยรังสีแกมมา เช่น การพัฒนาพันธุ์กล้วยและถั่วเหลืองที่มีความต้านทานโรคสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสีของกล้วยไม้ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ปราศจากโรค การผลิตพลาสติกชีวภาพ การผลิตแผ่นเจลสำหรับประสานแผลสด และการกำจัดเชื้อโรคในขยะและน้ำทิ้งด้วยรังสี

“ที่น่าสนใจมาก็คือ ในการประชุมนี้ทุกประเทศยังได้ให้ความสนใจด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด ซึ่งก็ควรจะเป็นพลังงานทางเลือกทางหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหา อันเนื่องมาจากผลของสภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดอากาศวิปริตในทั่วโลกในปัจจุบัน เช่น ฝนตกหนัก น้ำท่วม เกิดพายุขึ้นบ่อยครั้ง อากาศหนาวจัดหรือร้อนจัดผิดปกติ

"เพราะการที่อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากการผลิตก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ที่เป็นผลมาจากการเผาก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และถ่านหิน เพื่อผลิตไฟฟ้า” รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

นอกจากนั้น ศ.ดร.ยงยุทธ ยังบอกด้วยว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศดังกล่าว องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น จึงได้กำหนดกรอบสนธิสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และได้มีการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ประเทศขึ้น ประเทศในเอเชียที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้ว คือ ญี่ปุ่น 55 โรง เกาหลี 20 โรง อินเดีย 14 โรง จีน 11 โรง และประเทศที่กำลังจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย ตุรกี และอียิปต์ ขณะที่ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย อยู่ในกลุ่มประเทศที่ยังรีรออยู่

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ยงยุทธ บอกเสริมว่า สำหรับประเทศไทยจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่ ต้องดูปัจจัยหลายประการด้วยกัน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ติดตามความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์มาโดยตลอด หากพบว่าราคาพลังงานในอนาคตสูงเกินไป การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งด้วย

ที่มา: http://www.manager.co.th/

ไทยมีเอี่ยวทำโลกร้อน

ไทยมีเอี่ยวทำโลกร้อนติดอันดับ 9 โลกปล่อยก๊าซสูงสุด
นักวิจัยด้านพลังงานชี้ ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของกลุ่มประเทศตัวการทำให้โลกร้อน คนไทย 1 คนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.18 ตันต่อปี ขณะที่คนญี่ปุ่นปล่อย 9.41 ตัน และ 19.68 ตันในคนสหรัฐ แนะคนไทยร่วมใจลดกิจกรรมปล่อยก๊าซโลกร้อน

รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานสายสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กล่าวว่า ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลก ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ข้อมูลการวิจัยเมื่อปี 2543 ระบุว่า คนไทย 1 คนปล่อยก๊าซโลกร้อนมากถึงปีละ 2.18 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.8% เมื่อเทียบกับประชากรทั่วโลก

ขณะที่คนญี่ปุ่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 9.41 ตันต่อคน ส่วนยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ มีส่วนในการสร้างภาวะโลกร้อนคนละ 19.68 ตันต่อปี หากเมื่อพิจารณาตามภาคอุตสาหกรรมสำคัญ พบว่าก๊าซโลกร้อนมาจากกิจกรรมของภาคการผลิตไฟฟ้า 43% ภาคการขนส่ง 32% และภาคอุตสาหกรรม 25%

ที่มา: http://www.komchadluek.net/

เอไอทีพัฒนาเครือข่ายขี่ช้างท่องเน็ต

เอไอทีพัฒนาเครือข่ายขี่ช้างท่องเน็ตระบบสื่อสารฉุกเฉินช่วยทีมกู้ภัยประสานงานช่วยเหลือ

โบราณว่าขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่นักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กลับถือสุภาษิต "ขี่ช้างเล่นอินเทอร์เน็ต" เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ทำเล่นโก้ๆ ตรงกันข้ามในยามฉุกเฉินเมื่อระบบสื่อสารโทรคมนาคมล่ม "เครือข่ายช้างไร้สาย" สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจกู้ภัยสื่อสารระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว โดยเสียเวลาติดตั้งระบบเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ดร.กาญจนา กาญจนสุต ผู้อำนวยการศูนย์อินเตอร์แลป สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า ทีมนักวิจัยของเอไอที ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ได้ร่วมกันพัฒนาเครือข่ายไร้สายที่เรียกว่า "ดัมโบ้" (Digital Ubiquitous Mobile Broadband OLSR) ซึ่งสามารถติดตั้งและนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้หน่วยปฏิบัติงานกู้ภัยประสานงานระหว่างหน่วยงาน

“เครือข่ายดัมโบ้ช่วยให้ทีมเจ้าหน้าที่ภาคสนามสามารถสื่อสารกันได้ เพียงแค่ทุกคนมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือพีดีเอ ที่มีไวไฟ (WiFi) ก็สามารถใช้สื่อสารกันเป็นกลุ่มได้ทันที” ผู้อำนวยการศูนย์อินเตอร์แลป เอไอที กล่าว

ปกติแล้ว คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และพีดีเอ ที่มีเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายไวไฟ อยู่ในตัวเครื่องสามารถสร้างเครือข่ายเฉพาะกิจได้อยู่แล้วทุกเครื่อง แต่จำกัดอยู่แค่สื่อสารกันเพียง 2 เครื่องเท่านั้น หากต้องการให้เครื่องพิวเตอร์จำนวนหลายเครื่องสามารถสื่อสารระหว่างกันในเวลาเดียวกันจำเป็นต้องใช้มาตรฐานเครือข่ายพิเศษมาช่วย

คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือพีดีเอ ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า "โอแอลเอสอาร์" สามารถใช้สื่อสารประชุมไร้สาย หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แบบเครือข่ายภายในได้ทันที และถ้าต้องการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ก็สามารถติดตั้งจานดาวเทียม เพื่อรับสัญญาจากดาวเทียมสื่อสารอย่างเช่น ไอพีสตาร์ เป็นต้น

ปัจจุบัน เครือข่ายดัมโบ้อยู่ระหว่างทดสอบการใช้งานอยู่ที่ภูเก็ต จังหวัดที่เคยประสบปัญหาสึนามิ และเกิดปัญหาขัดข้องทางการสื่อสาร ทีมวิจัยได้ทดสอบโมเดลการสื่อสารแบบใหม่ โดยตั้งแคมป์จำนวนสองแคมป์ แต่ละแคมป์มีช้างเป็นพาหนะ ซึ่งสามารถเดินทางเข้าไปในพื้นที่ทุรกันดาร หรือยากแก่การคมนาคมเข้าถึงด้วยยานพาหนะ

“ทีมงานฝรั่งเศสและญี่ปุ่นของเราตอนนี้อยู่ที่ภูเก็ต เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เรามีแคมป์ช้างห่างกัน 10 กิโลเมตร แต่ละแคมป์มีช้าง 8 ตัว และมีคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยเครือข่ายดับโบ้ ซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมสำหรับติดต่อกับหน่วยงานในกรุงเทพฯได้” นักวิชาการสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กล่าว

ที่มา komchadluek